วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557

การพัฒนาความร่วมมือด้าน Cyber Security เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน

การพัฒนาความร่วมมือด้านความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน
( Cyber Security Collaboration for ASEAN Community )
โดย พันเอก ฤทธี  อินทราวุธ
รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีทางทหาร
------------------------------------
การเตรียมความพร้อมด้านการรักษาความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศไทย เพื่อป้องกันและปราบปรามการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด รวมถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ภัยคุกคามด้านไซเบอร์ อันสืบเนื่องมาจากผลกระทบจากการเปิดเสรีอาเซียน เพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ( ASEAN Community ) ในปี 2558 กรมสอบสวนคดีพิเศษ        ( DSI ) กระทรวงยุติธรรม จึงได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุม การพัฒนาความร่วมมือด้านความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ณ โรงแรม เดอะ เกรซ อัมพวา รีสอร์ท
จ.สมุทรสงคราม ระหว่าง 13 14 สิงหาคม 2557  โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมสัมมนาจากหน่วยงานภาครัฐ รวมทั้ง ผู้แทนจากสถานทูตในอาเซียน อาทิเช่น ประเทศเมียนม่าร์ ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และบรูไน หน่วยงานจากประเทศ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และอังกฤษ รวมทั้งสิ้น กว่า 80 ท่าน โดยได้เชิญ ผู้แทนกองทัพบก เข้าร่วมการประชุมสัมมนา และอภิปรายกลุ่มในหัวข้อเรื่อง การพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศ ในมุมมองของกองทัพ และกรอบความร่วมมือ ( Perspectives for ICT Security and Collaboration Framework ) ร่วมกับ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และคุณปริญญา หอมเอนก ประธานบริษัท ACIS Professional Center จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้าน Cyber Security ของประเทศไทย

1. มุมมองของกองทัพต่อปัญหาความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
กองทัพบก ในฐานะหน่วยงานหลัก ด้านความมั่นคงปลอดภัยของประทศ ได้ตระหนักถึงความสำคัญต่อปัญหาความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งปัจจุบันได้ทวีความเข้มข้น และมีความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ พร้อมๆ กับความเจริญก้าวหน้าด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสานสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งเข้ามามีบทบาทในวิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน รวมถึงกระบวนการทำงานของกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นระบบบริหารงานยามปกติ ( MIS ) ระบบควบคุมบังคับบัญชา ( C4I ) รวมถึงระบบอื่นๆ เช่น ระบบลาดตระเวนและเฝ้าตรวจ ระบบติดตามเป้าหมาย ระบบอาวุธยิงทำลาย
รวมถึงระบบอุปกรณ์การฝึกด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงสมัยใหม่ ซึ่งภัยคุกคามด้านความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ถือเป็นอาวุธโจมตี และการปฏิบัติการทางทหารที่สำคัญมากในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะการปฏิบัติการข่าวสาร ( IO ) ซึ่งมีอิทธิพลอย่างสูงต่อความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติ และจิตใจคนได้อย่างรวดเร็ว ส่งกระทบไปในวงกว้างแบบไร้ขีดจำกัด ไร้พรมแดน จึงทำให้หลายประเทศ นิยมนำมาอาวุธชนิดนี้มาใช้ในการโจมตี และการปฏิบัติการทางทหาร เพราะถือโลกไซเบอร์ ( Cyber Space Domain) ว่าเป็นโดเมนที่ 5 เพิ่มเติมจาก พื้นดิน ( Land Domain ) พื้นน้ำ ( Sea Domain ) อากาศ ( Air Domain )  และอวกาศ ( Space Domain )
นอกจากด้านการปฏิบัติการทางทหารแล้ว กองทัพยังมีภารกิจด้านการปฏิบัติการทางทหารที่มิใช่สงคราม ( Military Operations Other Than War ; MOOTWAR ) โดยเฉพาะการพัฒนาประเทศและการช่วยเหลือประชาชน การบรรเทาสาธารณภัยและการกู้ภัยพิบัติที่รุนแรง รวมถึงการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ และการแก้ไขปัญหาของชาติตามนโยบายรัฐบาล เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูง ปัญหาแรงงานเถื่อน เป็นต้น กองทัพอาจจะอยู่ในฐานะหน่วยงานช่วยเหลือสนับสนุนส่วนราชการพลเรือน หรืออาจจะเป็นหน่วยงานหลักในการปฏิบัติการ ซึ่งกองทัพจะต้องมีการประสานการปฏิบัติร่วมกันกับส่วนราชการอื่นๆ รวมถึงภาคเอกชนพลเรือน จึงจำเป็นจะต้องมีช่องทางการประสานงานโดยเฉพาะระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งจะต้องสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกันได้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และความรวดเร็วในการปฏิบัติงานร่วมกัน และที่สำคัญระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จะต้องมีเสถียรภาพ ความมั่นคง และปลอดภัย ปราศจากการถูกคุกคาม และการโจมตีจากฝ่ายตรงข้าม หรือจากการถูกทำลายจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น หรือจากความประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นต้น

2. การเตรียมการของกองทัพต่อปัญหาความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
กองทัพบก รวมถึง กระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพอื่นๆ ต่างตระหนักถึงภัยคุกคามด้านเทคโนโลยีสารสนเทศดังกล่าว จึงได้ดำเนินการจัดตั้งหน่วยงานด้านไซเบอร์ขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมรับภัยคุกคามดังกล่าว ในส่วนของกองทัพบก ได้อนุมัติจัดตั้ง ศูนย์ไซเบอร์กองทัพบกขึ้น ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2557 เป็นต้นไป โดยการแปรสภาพหน่วย ศูนย์เทคโนโลยีทางทหารกองทัพบก ปัจจุบัน มาปฏิบัติงานด้านไซเบอร์ของกองทัพ โดยมีกรอบการปฏิบัติงานไซเบอร์ในด้านการรักษาความมั่นคงของชาติเบื้องต้น ในระหว่างที่ยังไม่มีกฎหมายมารองรับ จะเน้นไปในด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ภายในองค์กร โดยจะเริ่มต้นการดำเนินการสำรวจตรวจสอบทรัพย์สินอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับไซเบอร์ ( Asset Management ) เช่น ระบบคอมพิวเตอร์, ระบบเครือข่าย, ระบบฐานข้อมูล, รวมถึง
ระบบคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงกับอาวุธยุทโธปกรณ์, ระบบควบคุมอาวุธยิง, ระบบค้นหาและติดตามเป้าหมาย, ระบบลาดตระเวนและเฝ้าตรวจ ฯลฯ การดำเนินการตรวจสอบสภาพแวดล้อมภัยคุกคามไซเบอร์ ( Environmental Scanning )  โดยเฉพาะการโจมตี การบุกรุก และการใช้โปรแกรมไวรัส และมัลแวร์  การตรวจสอบและประเมินความเสี่ยงด้านเครือข่าย ( Risk Assessment )  โดยเฉพาะเครือข่ายอินเตอร์เน็ตและเครือข่ายไร้  การประเมินช่องโหว่ของระบบสารสนเทศ ( Vulnerability Assessment )  ทั้งอุปกรณ์เครือข่าย อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โปรแกรมระบบงาน  และระบบฐานข้อมูลต่างๆ การประกันความเสี่ยงด้านสารสนเทศ  ( Information Assurance )  การปฏิบัติการทดสอบเจาะระบบสารสนเทศ  ( Penetration Testing )  การบริหารจัดการความเสี่ยงระบบสารสนเทศ ( Risk Management )  ในกรณีที่เกิดการโจมตีไซเบอร์ เกิดความเสียหาย หรือเกิดปัญหาข้อขัดข้องต่างๆโดยการจัดทำแผนฉุกเฉิน และการกำหนดกลยุทธ์บริหารจัดการความเสี่ยง  การกำหนดมาตรการควบคุมการเข้าถึงระบบสารสนเทศ ( Access Control ) เพื่อควบคุมสิทธิการใช้งานระบบสารสนเทศ และการเข้าถึงข้อมูลในระดับต่างๆ ของผู้ที่มีสิทธิ์ รวมถึงการป้องกันการเข้าใช้งานจากบุคคลที่ไม่มีสิทธิ์  การยืนยันรับรองตัวบุคคลด้านสารสนเทศ  ( Authentic )  เพื่อยืนยันรับรองตัวตนและความถูกต้องของบุคคลที่มีสิทธิ์เข้าใช้งาน และเก็บบันทึกไว้สำหรับการตรวจสอบ การสร้างความสำนึกความตระหนักและการฝึกอบรม ( Awareness and Training ) เป็นการดำเนินการรณรงค์ ชี้แจง ทำความเข้าใจ ปลูกฝังจิตสำนึก สร้างความตระหนัก รวมถึงการฝึกอบรมความรู้ความเข้าใจในกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และแนวทางการปฏิบัติต่างๆ  รวมถึงการสร้างภาคีประชาคมเครือข่ายไซเบอร์กองทัพบก (  Army Cyber Communities )  ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วทั้ง 4 พื้นที่กองทัพภาค การดำเนินการเฝ้าระวังตรวจสอบ วิเคราะห์ไซเบอร์ และข้อมูลข่าวสารที่เป็นภัยต่อความมั่นคง การเตรียมการปรับปรุงห้องปฏิบัติการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ( CSOC ) เพื่อใช้เป็นศูนย์ปฏิบัติการฯ ในการดูแลรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยต่างๆ ทั้งกองทัพบก การตรวจสอบระบบสารสนเทศ ( IT Audit ) การตรวจพิสูจน์หลักฐานทางดิจิตอล ( Digital Forensics ) เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินการทางกฎหมายต่อไป การปฏิบัติการฉุกเฉินด้านไซเบอร์ ในกรณีที่มีการคุกคามด้านไซเบอร์ จะมีชุดปฏิบัติการฉุกเฉินด้านไซเบอร์ของกองทัพบก (  Army CERT ) เข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่ที่เกิดเหตุ โดยชุดปฏิบัติการดังกล่าวจะประสานความร่วมมือในการปฏิบัติการกับระดับชาติ ( Thai CERT ) ระดับกระทรวงกลาโหม ( MOD CERT ) และระดับเหล่าทัพ ในกรณีที่เกิดความเสียหายต่อระบบสารสนเทศ จะมีชุดการปฏิบัติการกู้คืนระบบ  ( System Recovery Team ; SRT ) เข้าไปดำเนินการปฏิบัติการกู้คืนระบบ เพื่อให้สามารถกับมาใช้งานได้ตามปกติ
  สำหรับการดำเนินการปฏิบัติการข่าวสารบนไซเบอร์  จะเป็นการใช้ประโยชน์จากไซเบอร์เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการข่าวสาร ในกรณีการใช้ข่าวสารและสื่อไซเบอร์เพื่อเผยแพร่โจมตีให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์และ
กองทัพ, การโจมตีให้ร้ายหรือบิดเบือนข้อเท็จจริงที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติการเผยแพร่ ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกเกลียดชังของคนในสังคม, การเผยแพร่หรือบิดเบือนข้อเท็จจริงที่มีผลกระทบต่อการรักษาความสงบเรียบร้อย, การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่มีผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น โดยดำเนินการเฝ้าระวัง ค้นหา ติดตาม ตรวจสอบ ความเคลื่อนไหวข้อมูลข่าวสารที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ตามที่กล่าวมาแล้วเพื่อรวบรวม สังเคราะห์ วิเคราะห์ และพิสูจน์ทราบความเคลื่อนไหวข้อมูลข่าวสาร จากกลุ่มบุคคล และเครือข่ายต่างๆ ในโลกไซเบอร์ เพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินการทางกฎหมาย หรือกำหนดมาตรการในการปฏิบัติการข่าวสารในด้านอื่นๆ เช่น การตอบโต้ข่าวสาร การบิดเบือนข้อมูล การสร้างความสับสน การลดกระแส และลดความน่าเชื่อถือของข่าวสาร ตลอดจนการกำหนดเป็นเป้าหมายในการปฏิบัติการเชิงรุก เมื่อมีความจำเป็นต่อไป

3. แนวทางของกองทัพในความร่วมมือด้านความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
จากมุมมอง และการเตรียมการ รวมถึงกรอบการปฏิบัติงานไซเบอร์ของกองทัพบก ด้านการรักษาความมั่นคงของชาติเบื้องต้น ในระหว่างที่ยังไม่มีกฎหมายด้านไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงปลอดภัยของประเทศเป็นการเฉพาะ มารองรับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งปัจจุบันมีแต่กฎหมาย ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ โดยมุ่ง
เน้นไปที่ปัญหาอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ( Computer Crime ) และการเผยแพร่ข่าวสารที่กระทำให้เกิดความเสียหาย เป็นหลัก แต่การกระทำความผิดทางไซเบอร์ในด้านความมั่นคงของประเทศ อาทิเช่น การโจมตีระบบสาธารณูปโภค ระบบสื่อสาร ระบบการจราจร ขนส่ง คมนาคม ระบบการเงินการคลังของประเทศ เป็นต้น ยังไม่มีความชัดเจน และเป็นการเฉพาะ เมื่อกองทัพจัดตั้งหน่วยงานด้านไซเบอร์ขึ้นมา จึงควรจะพิจารณาออกกฎหมาย ว่าด้วยการกระทำความผิดทางไซเบอร์ในด้านความมั่นคงของประเทศ เป็นการเฉพาะ เช่นเดียวกับ พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงฯ ของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำหรับประเด็นด้านกฎหมายนี้ ผู้ร่วมอภิปราย และผู้ร่วมการประชุมสัมมนาฯ ทุกท่านต่างให้ความเห็นชอบด้วยอย่างมาก
ในส่วนของแนวทางของกองทัพในความร่วมมือด้านความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งกองทัพบกมีความพร้อมในระดับหนึ่ง โดยมี ศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก รวมถึงกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพอื่นๆ ซึ่งมีหน่วยงานด้านไซเบอร์เช่นกัน ดำเนินการแสวงหาความร่วมมือกัน โดยการดำเนินการสร้างความ
สำนึก ความตระหนัก การสัมมนาแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ การศึกษาดูงาน การฝึกอบรมความรู้ การวิจัยพัฒนา  และการสร้างภาคีประชาคมเครือข่ายไซเบอร์ ( Cyber Communities )  รวมถึงการปฏิบัติการฉุกเฉินด้านไซเบอร์ ในกรณีที่มีการคุกคามด้านไซเบอร์ จะมีชุดปฏิบัติการฉุกเฉินด้านไซเบอร์ เข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่ที่เกิดเหตุ โดยชุดปฏิบัติการดังกล่าวจะประสานความร่วมมือในการปฏิบัติการกับระดับชาติ ( Thai CERT ) ระดับกระทรวงกลาโหม ( MOD CERT ) และระดับเหล่าทัพ รวมถึงความร่วมมือในการปฏิบัติการกับหน่วยงานอื่นนอกกองทัพ
สำหรับประเด็นหน่วยงานด้านไซเบอร์ของประเทศไทย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้ให้ความเห็นว่า ประเทศไทยควรจะมีการจัดตั้งหน่วยงานไซเบอร์ของประเทศเป็นการเฉพาะอาจจะเป็น สำนักงานไซเบอร์แห่งชาติ โดยมี ผู้บัญชาการไซเบอร์แห่งชาติ เป็นผู้บังคับบัญชา เพื่อความเป็นเอกภาพในการปฏิบัติงานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของชาติโดยตรง เช่นเดียวกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากปัจจุบันมีหน่วยปฏิบัติงานด้านไซเบอร์คาบเกี่ยวกันหลายหน่วย ทั้งงานทางด้านเทคนิคและด้านกฎหมาย ซึ่งภัยคุกคามไซเบอร์มีทั้งในด้านความมั่นคงของประเทศ ด้านอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ และด้านการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล  โดยมีแนวโน้มที่จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกระดับทั้งระดับชาติ ลงไปถึงระดับชุมชนทั่วประเทศ
แนวทางของกองทัพในการพัฒนาความร่วมมือ ด้านความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ กับส่วนราชการพลเรือนอื่นๆ  รวมถึงภาคองค์กรเอกชน นับเป็นสิ่งที่ดี และมีประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างมหาศาล เพราะจะทำให้เกิดเครือข่ายกว้างขวางมากยิ่งขึ้น มีความเข้มแข็ง และมีศักยภาพในการพร้อมรับกับภัยคุกคามด้านไซเบอร์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและในอนาคต โดยการดำเนินการพัฒนาความร่วมมือดังกล่าว เริ่มจากการแสวงหาความร่วมมือกันตามแนวทางของกองทัพที่ได้กล่าวมาแล้ว การจัดทำบันทึกความเข้าใจหรือข้อตกลงความร่วมมือ ( MOU ) และการผลักดันให้พิจารณาออกกฎหมาย ว่าด้วยการกระทำความผิดทางไซเบอร์ในด้านความมั่นคงของประเทศ เป็นการเฉพาะ เพื่อใช้เป็นเกราะป้องกัน และเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในกรณีจำเป็น สำหรับประเด็นการจัดทำบันทึกความเข้าใจหรือข้อตกลงความร่วมมือ ( MOU ) ผู้ร่วมอภิปราย และผู้ร่วมการประชุมสัมมนาฯ ทุกท่านต่างให้ความเห็นชอบด้วยอย่างมาก
การพัฒนาความร่วมมือด้านความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในกรอบอาเซียน และมิตรประเทศ กองทัพบกได้มีการประสานความร่วมมือกับมิตรประเทศ ผ่านทางคณะที่ปรึกษาทางการทหารสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ( JUSMAG THAI ) ซึ่งเป็นองค์กรความช่วยเหลือด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ โดยได้จัดให้มีการประชุมแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ ไทย-สหรัฐ ( Cyber Security Subject Matter Expert Exchange ; SMEE ) เป็นครั้งแรก เมื่อปลาย
เดือนกุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา  สำหรับประเทศอื่นๆ ที่สนใจ ทางกองทัพบกมีความยินดีในการประสานความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยด้านไซเบอร์กับทุกประเทศ รวมถึงองค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยกรอบความร่วมมือระดับอาเซียน จะเน้นไปใน ทั้งด้านการศึกษา ดูงาน การวิจัยพัฒนา การฝึกปฏิบัติงาน และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์  เป็นต้น ด้านการสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ในการป้องกันความมั่นคงปลอดภัยด้านไซเบอร์ ที่มีความทันสมัย และมีราคาสูง รวมถึงในด้านการเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือในด้านอื่นๆ เช่น การจัดตั้งเป็นประชาคมไซเบอร์ระดับนานาชาติ หรือระดับอาเซียน เช่นเดียวกับความร่วมมือในด้านภัยพิบัติ และการบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งได้มีการร่วมลงทุนติดตั้งเครื่องมือและทุ่นแจ้งเตือนภัยคลื่นยักษ์สึนามิ ทั่วมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นต้น
สำหรับประเด็นความร่วมมือระหว่างประเทศ ผู้ร่วมอภิปราย และผู้ร่วมการประชุมสัมมนาฯ โดยเฉพาะผู้แทนจากต่างประเทศได้ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาภัยคุกคามด้านไซเบอร์ผ่านเครือข่ายเข้ารหัสข้อมูล ( Encryption ) ที่ชื่อว่า Tor Network เพื่อหลบเลี่ยงการค้นหา ตรวจจับ หรือการตามตัว Hacker ซึ่งหลายประเทศยังมีขีดความสามารถไม่เพียงพอต่อการรับมือการโจมตีผ่าน Tor Network
การพัฒนาขีดความสามารถบุคลากรของกองทัพบกนั้น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และคุณปริญญา หอมเอนก ประธานบริษัท ACIS Professional Center จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้าน Cyber
Security ของประเทศไทย ต่างให้ความสนใจเป็นพิเศษ โดยมีเจตนารมณ์ที่จะร่วมมือกันเพื่อพัฒนาขีดความสามารถบุคลากร รวมถึงความร่วมมือในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ด้านอื่นๆ โดยทาง คุณปริญญา หอมเอนก ประธานบริษัท ACIS Professional Center จำกัด มีความยินดีที่จะสนับสนุนให้กองทัพบกจัดการแข่งขัน และการพัฒนาทักษะด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ( Cyber Defense Exercise; CDX ) ในอนาคตอันใกล้นี้ เช่นเดียวกับ ที่เคยสนับสนุนให้กับกองทัพอากาศ ( Air Force Cyber Operations Contest )

จากผลการประชุมสัมมนาฯในครั้งนี้ กองทัพบก โดย ศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก ได้เตรียมความพร้อมในการ
รองรับความร่วมมือด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ จากทุกภาคส่วน รวมทั้ง
จากนานาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตรียมจัดการแข่งขันทักษะด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยและการปฏิบัติการไซเบอร์ ( Army Cyber Security & Operations Contest 2015 ) ในปี 2558 เพื่อตรวจสอบขีดความสามารถของกำลังพลของกองทัพบก และบุคคลทั่วไป รวมถึงการพัฒนาทักษะเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถการปฏิบัติการไซเบอร์ ทั้งมาตรการเชิงรับและเชิงรุกต่อไป ใครสนใจจะเข้าร่วมการแข่งขันฯ ต้องเริ่มเตรียมตัว เตรียมความรู้ และเตรียมทีมแต่เนิ่นๆ แล้วพบกันต้นปีหน้า ที่กองทัพบก