วันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2560

คณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ

คณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ

โดย พลตรี ฤทธี  อินทราวุธ
ผู้อำนวยการศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก

คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักการ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เมื่อ 19 กันยายน 2560 เพื่อเตรียมการด้านการพัฒนาและการรักษา
ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ด้านเศรษฐกิจ สาธารณสุข พลังงาน การทหาร ระบบการเตือนภัย และการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ อีกทั้งสามารถป้องกันหรือรับมือกับสถานการณ์ด้านภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะช่วยคุ้มครองและสร้างความเชื่อมั่นให้กับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ร่างระเบียบดังกล่าว กำหนดให้ นายกรัฐมนตรี เป็น ประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย เป็น รองประธานคนที่ 1 และรองประธานคนที่ 2 รวมถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง  กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง จำนวนไม่เกิน 7 คน เป็นกรรมการ โดยให้ปลัดกระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นกรรมการและเลขานุการ และให้รองปลัดกระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
คณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ จะมีหน้าที่และอำนาจในการกำหนดนโยบายและแผนระดับชาติ ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี บูรณาการ จัดการพัฒนา และการสร้างศักยภาพในการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินทางความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยการจัดทำแผนแม่บทด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เพื่อปกป้องด้านโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ  พิจารณากำหนดโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศของประเทศ และวางกรอบการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานเอกชน โดยอย่างน้อยต้องประกอบด้วย หน่วยงานประสานงานกลาง หน่วยงานเผชิญเหตุฉุกเฉิน และกรอบมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตามหลักการบริหารความเสี่ยง ติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลการดำเนินการ ประสานความร่วมมือกับคณะกรรมการระดับชาติหรือคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายอื่น เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีในการจัดให้มีหรือปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
ในมุมมองของการเตรียมความพร้อม ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ เพื่อการรับมือกับภัยคุกคามและการโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นตามลำดับ ถือได้ว่าการจัดตั้งคณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เป็นอีกก้าวหนึ่งของความสำคัญและความตระหนักในระดับรัฐบาล แต่บทเรียนความล้มเหลวที่ผ่านมาในอดีต ซึ่งได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติมาแล้ว แต่ก็ไม่ประสบผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม ทางภาครัฐ ภาคราชการ รัฐวิสาหกิจ ก็คงเป็นไปตามสูตรเดิมๆ คือ ผู้บริหารระดับสูงยังไม่ให้ความสำคัญในเรื่องความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เท่าไรมากนัก การสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาบุคคลากรและอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือป้องกันการโจมตีก็ล่าช้าอยู่ในลำดับความเร่งด่วนท้ายๆ  ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการดิ้นรน เต้นแร้งเต้นกาไปตามยถากรรม แต่เวลาโดนโจมตี โดน Hack เปลี่ยนหน้าเว็บ เจาะระบบ เจาะฐานข้อมูล ฯลฯ ก็ค่อยเต้นเป็นไฟไหม้ฟาง พอเรื่องซาลงก็เข้าสูตรเดิม ที่สำคัญการให้ความสำคัญต่อบุคคลากรภาครัฐที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ทักษะ ประสบการณ์ในด้านไซเบอร์ ในการส่งเสริมสนับสนุนให้มีความเจริญก้าวหน้าเติมโตไปตามลำดับ และการนำมาใช้ประโยชน์ต่อทางราชการอย่างเต็มทีเช่นเดียวกับบุคคลากรผู้เชี่ยวชาญสายงานอื่นๆ ที่เกษียณอายุราชการไปแล้วในระบบราชการยังมีช่องทางอยู่น้อยมาก ทำให้บุคลากรเหล่านี้ต้องหันไปพึ่งพาองค์กรภาคธุรกิจเอกชน จนทำให้องค์กรภาคธุรกิจเอกชนเหล่านี้มีการพัฒนาเสริมสร้างขีดความสามารถ ด้านรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์มากกว่าองค์กรภาครัฐ
อีกบทเรียนแห่งความล้มเหลว ในการจัดตั้งคณะกรรมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ อนุกรรมการฯ คณะทำงานฯ ต่างๆ  ซึ่งมักจะใช้สูตรเดิมๆ คือ ข้าราชการหรือผู้บริหารระดับสูงยุค Analog ผู้สูงอายุที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ ทักษะ ประสบการณ์การทำงานจริง และไม่ค่อยจะมีเวลาในการทำงานด้านไซเบอร์อย่างเต็มที่ เวลาจะคิดจะทำอะไรก็มักใช้คนใกล้ชิดคนใกล้ตัวเป็นหลัก โดยไม่ได้ไปเสาะแสวงหาผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์เฉพาะในแต่ละด้านมาเป็นกลไกขับเคลื่อนในการทำงาน ก็คงเป็นการยากที่จะทำให้การทำงานของ คณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่คาดหวังไว้ เพราะดูภารกิจ หน้าที่ และขอบเขตของคณะกรรมการฯ ที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งมีจำนวนมากมายหลากหลายงานจึงไม่เป็นการง่ายเลย ในการที่จะหาบุคลากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์เฉพาะในแต่ละด้านมาช่วยกันทำ แต่ถ้ายังคงเป็นแบบพวกมากลากไป คนของใครคนของมัน ไม่ต่างอะไรกับ “ การติดกระดุมผิดในเม็ดแรก ”

---------------------------------------------

อ้างอิง :

https://www.dailynews.co.th/politics/599338

วันเสาร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2560

ไซเบอร์ : หนึ่งในพลังอำนาจทางทหารที่กองทัพทั่วโลกจับตามอง แต่ไทยมึน ?

ไซเบอร์ : หนึ่งในพลังอำนาจทางทหารที่กองทัพทั่วโลกจับตามอง แต่ไทยมึน ?
( Cyber : One of the Military power )
พลตรี ฤทธี  อินทราวุธ
ผู้อำนวยการศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก
การทหาร ถือเป็นหนึ่งในกำลังอำนาจแห่งชาติ หรือ พลังอำนาจของชาติ[1]  ( National Power ) นอกเหนือจาก การเมือง , เศรษฐกิจ และสังคมจิตวิทยา ถือเป็นหลักประกันด้านความมั่นคงของชาติ ( National Security ) ที่
สำคัญที่สุด ประเทศใดที่กำลังอำนาจทางการทหารมีความอ่อนแอ ไม่มั่นคงแข็งแรงเพียงพอ ก็มักจะถูกแทรกแซง หรือถูกรุกรานจากประเทศอื่นๆ ที่มีศักยภาพทางทหารที่เหนือกว่า ดังนั้นในหลายประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก จึงให้ความสำคัญด้านการพัฒนาเสริมสร้างกำลังอำนาจทางการทหาร เพื่อใช้ในการปกป้องคุ้มครองเอกราช อธิปไตย และผลประโยชน์ของชาติ  หรือใช้เป็นอำนาจในการต่อรอง
การพัฒนาเสริมสร้างกำลังอำนาจทางการทหารของแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกัน ขึ้นกับสภาพแวดล้อมของภัยคุกคาม การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมจิตวิทยา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ การพัฒนาเสริมสร้างกำลังอำนาจทางการทหารของประเทศมหาอำนาจส่วนใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน อังกฤษ ฯลฯ มักจะให้ความสำคัญและใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมหาศาลกับ “ อาวุธยุทโธปกรณ์ ” เพื่อใช้ในการสู้รบ ปกป้องเอกราช และอธิปไตยของตัวเอง รวมทั้งการใช้เป็นเครื่องมือทางการทหาร เพื่อสร้างความได้เปรียบให้แก่ตัวเองในเชิงยุทธศาสตร์ต่างๆ ในหลายพื้นที่และหลายสมรภูมิทั่วโลก[2] จากข้อมูลผลการสำรวจอันดับกองกำลังทางทหารที่มีพลังมากที่สุดในโลก 35 อันดับ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆราว 50 กว่าปัจจัย อาทิ งบประมาณด้านการทหาร กำลังพล และจำนวนยุทธภัณฑ์ในแต่ละประเทศ  โดยสหรัฐอเมริกาอยู่ในอันดับหนึ่งของโลก มีงบประมาณด้านการทหารที่สูงที่สุดในโลก คือราว 612,500,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ , รัสเซียตามมาเป็นอันดับสอง , จีนอยู่ในอันดับสามของโลก โดยมีงบประมาณด้านการทหารอยู่ที่ 126,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ  สำหรับประเทศไทย ติดอันดับที่ 24 มีงบประมาณด้านการทหาร 5,390,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ[3] ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การพัฒนาเสริมสร้างกำลังอำนาจทางการทหารของทุกประเทศทั่วโลกต่างให้ความสำคัญในลำดับต้นๆ แต่อย่างไรก็ตามสำหรับประเทศไทย ก็ถือว่าการจัดลำดับกองกำลังทางทหารที่มีพลังมากที่สุดในโลกนี้อยู่ในลำดับกลางๆ ค่อนข้างล่างจาก 35 ประเทศ ทั้งนี้เนื่องมาจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ประกอบกับปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ รวมถึงความต้องการงบประมาณเพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆ
การพัฒนาเสริมสร้างกำลังอำนาจทางการทหารของประเทศต่างๆ ทั่วโลกส่วนใหญ่จะไปในทิศทางเดียวกัน นอกเหนือจากกำลังรบและอาวุธยุทโธปกรณ์แล้ว สิ่งที่มีความสำคัญและจำเป็นในการพัฒนาเสริมสร้างกองทัพให้มีประสิทธิภาพและมีศักยภาพทางการทหารในยุคปัจจุบันและอนาคต โดยใช้งบประมาณไม่มากนัก แต่สามารถเสริมสร้างขีดความสามารถและศักยภาพทางการทหารให้มีความเหนือกว่าและเป็นที่เกรงขาม คงหนีไม่พ้นการเสริมสร้างและพัฒนากองทัพในด้านไซเบอร์ ที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติการทางทหาร ให้เกิดความได้เปรียบ และลดการสูญเสียด้านกำลังรบและอาวุธยุทโธปกรณ์
ไซเบอร์ ( Cyber ) กองทัพชั้นนำในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ได้ให้ความสำคัญกับ การปฏิบัติการทางไซเบอร์ ( Cyber Operations ) มานานหลายสิบปีแล้ว โดยปัจจุบันได้มีการจัดตั้ง กองบัญชาการไซเบอร์[4] ( Cyber Command ) หรือ กองทัพไซเบอร์ ขึ้นมา โดยมีนายทหารยศ “ พลเอก ” เป็น ผู้บัญชาการ เพื่อรองรับการปฏิบัติการทางทหารในโลกไซเบอร์ หรือพื้นที่ปฏิบัติการทางไซเบอร์ ( Cyber Domain )  รวมถึงการทำสงครามไซเบอร์ ( Cyber Warfare ) ซึ่งหลายประเทศต่างได้ดำเนินการจัดตั้งหน่วยงานด้านไซเบอร์ รวมถึงการพัฒนาเสริมสร้างกำลังรบส่วนหนึ่งที่เรียกว่า นักรบไซเบอร์ ( Cyber Warrior ) ทั้งแบบเปิดเผยและไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ อาทิเช่น กองทัพสหรัฐอเมริกา จีน เกาหลี ฯลฯ ตามที่เป็นข่าวปรากฏเกี่ยวกับการโจมตีหรือเจาะระบบของพวกแฮ็กเกอร์ ( Hacker ) และการแพร่ระบาดของไวรัสคอมพิวเตอร์ ( Virus Computer  )  หรือโปรแกรมไม่พึงประสงค์ ( Malware ) ต่างๆ ซึ่งส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลก สำหรับกองทัพของไทยได้มีการจัดตั้งหน่วยงานไซเบอร์ขึ้นมาเช่นกัน โดยเน้นไปในด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ( Cyber Security ) ให้กับระบบสารสนเทศขององค์กรเป็นหลัก ซึ่งจะมีความแตกต่างกับการพัฒนาเสริมสร้างกำลังกองทัพด้านไซเบอร์ของประเทศอื่นๆ ที่นอกเหนือจากภารกิจด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แล้ว  ต่างมุ่งเป้าไปสู่การพัฒนากำลังรบแบบ หน่วยรบไซเบอร์ ( Cyber Forces )  เพื่อการปฏิบัติการไซเบอร์เชิงรุก และการทำสงครามไซเบอร์เป็นการเฉพาะ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถ ศักยภาพ อำนาจกำลังรบ และความได้เปรียบทางการทหารในพื้นที่ปฏิบัติการทางไซเบอร์ หรือ ไซเบอร์โดเมน ( Cyber Domain ) ในการสนับสนุนการปฏิบัติการทางทหารในมิติการรบอื่นๆ เช่น พื้นที่ปฏิบัติการทางภาคพื้นดิน ( Land Domain )  , พื้นที่ปฏิบัติการทางภาคพื้นน้ำ ( Sea Domain )  และพื้นที่ปฏิบัติการทางอากาศ ( Air Domain )
หากเรายังคงจัดตั้งหน่วยงานไซเบอร์ของกองทัพขึ้นมา เพื่อการดูแลงานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นหลัก โดยไม่ให้ความสำคัญเร่งด่วนในด้านการพัฒนาเสริมสร้างกำลังพลและหน่วยงานไซเบอร์เพื่อไปสู่การปฏิบัติการไซเบอร์เชิงรุกเช่นเดียวประเทศต่างๆ ทั่วโลกซึ่งใช้งบประมาณจำนวนไม่มากนัก จะทำให้การพัฒนาเสริมสร้างกำลังกองทัพด้านไซเบอร์ล้าหลัง อาจจะเป็นการพัฒนากองทัพที่ผิดทิศทาง ไม่ทันต่อสถานการณ์และภัยคุกคามในอนาคต
การเสริมสร้างและพัฒนากองทัพในด้านไซเบอร์ จึงมีความสำคัญควบคู่ไปกับการพัฒนาเสริมสร้างกำลังรบและอาวุธยุทโธปกรณ์ซึ่งต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล แต่การการเสริมสร้างและพัฒนากองทัพในด้านไซเบอร์เป็นการลงทุนระยะยาว มีความต่อเนื่อง ที่ใช้งบประมาณไม่สูงมากนัก แต่สามารถเพิ่มศักยภาพทางทหารได้ไม่น้อย ดังนั้น กองทัพจึงควรหันมาให้ความสำคัญและปรับแนวคิดในการพัฒนาเสริมสร้างหน่วยงานดังกล่าว อย่ารอให้เกิดสงครามไซเบอร์ขึ้นมาก่อนแล้วค่อยคิดได้ “ ไซเบอร์ ” ก็คงไม่ต่างจาก “ เกลือ ” ดังสุภาษิตโบราณว่า “แกงจืดจึงรู้คุณเกลือ”
-----------------------------------------
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
[1] https://hengwelcome5000.files.wordpress.com/2014/07/283-e0b89ee0b8a5e0b8b1e0b887e0b8ade0b8b2e0b899e0b8b2e0b888e0b981e0b8abe0b988e0b887e0b88ae0b8b2e0b895e0b8b4-national-power-5.pdf
[2] http://m.matichon.co.th/readnews.php?newsid=1445838104
[3] https://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1405075034

[4] https://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1360126342