วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2562


เทคโนโลยีและความร่วมมือ กับ การแก้ไขปัญหา PM 2.5

โดย พลเอก ฤทธี  อินทราวุธ
หัวหน้าที่ปรึกษา คณะทำงานฯ ด้านกิจการอวกาศ กระทรวงกลาโหม
---------------------------------------
ปัญหามลพิษทางสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะ ฝุ่นละอองอนุภาคขนาดจิ๋ว หรือที่เรียกกันว่า PM 2.5  กำลังเป็นประเด็นร้อนอยู่ในขณะนี้ จนล่าสุดรัฐบาลได้ออกมาประกาศให้โรงเรียนรัฐบาลมากกว่า 400 แห่งในกรุงเทพฯ
ให้ยกเลิกการเรียนการสอนในช่วงเที่ยงของวันพุธที่ 30 ม.ค.62 ส่วนโรงเรียนเอกชนในกรุงเทพฯ และ โรงเรียนตามจังหวัดต่างๆ ที่อยู่โดยรอบจะปิดการเรียนการสอนในวันพฤหัสบดีที่ 31 ม.ค.62 และวันศุกที่ 1 ก.พ.62[1]  ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อลดผลกระทบทางสุขอนามัย นับเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ
ปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นปัญหาสำคัญที่ทุกประเทศให้ความสำคัญและใส่ใจ โดยมีมาตรการต่างๆ รองรับ ทั้งมาตรการลงโทษ มาตรการป้องปราม มาตรการป้องกัน มาตรการส่งเสริมสนับสนุน เพื่อให้ทุกภาคส่วน
เห็นความสำคัญ ใส่ใจ และมีความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน บางประเทศกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ ด้านการลดมลพิษ มีการกำหนดพื้นที่ไม่ให้มีการก่อสร้างขนาดใหญ่จนเกิดมลพิษ การควบคุมการปล่อยควัน ฝุ่นละอองและมลพิษทางอากาศอย่างเข้มงวด การสร้างถนนไร้ฝุ่น การกำหนดให้ใช้รถไฟฟ้าในบางเมืองเท่านั้น การกำหนดโซนนิ่งในการควบคุมปริมาณรถ ฯลฯ เป็นต้น เหล่านี้เป็นการวางรางฐานการปัองกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
PM 2.5 คือ ฝุ่นละอองอนุภาคขนาดจิ๋ว ที่สามารถผ่านขนจมูก ขี้มูก โพรงจมูก คอ หลอดลมใหญ่ ขนพัดโบก เสมหะ หลอดลมเล็ก หลอดลมย่อย ไปตกที่ถุงลมได้โดยตรง และเป็นหนึ่งในมาตรวัดหลักของดัชนีคุณภาพอากาศ ( Air Quality Index : AQI ) [2]  ซึ่งจากข้อมูลของ airvisual.com ซึ่งวัดระดับมลพิษตามเมืองต่างๆ ทั่วโลก พบว่า ค่า AQI ของกรุงเทพฯ อยู่ที่ 175 ส่งผลให้เมืองหลวงของไทยแห่งนี้ รั้งอันดับ 5 ของเมืองที่กำลังเผชิญมลพิษร้ายแรงสุดของโลก โดยมี นิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย ครองอันดับ 1 มีค่า AQI อยู่ที่ 257
กรมควบคุมมลพิษของไทย รายงานว่า คุณภาพอากาศในกรุงเทพฯ ได้แตะระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ด้วยผลการวัดค่าฝุ่นละอองอนุภาคขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ( PM 2.5 ) นั้น สูงกว่าระดับที่ปลอดภัยใน 41 พื้นที่รอบๆ เมืองหลวง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการให้ความสำคัญ ขาดการดูแลและเอาใจใส่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้ง ปัญหาการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ขาดมาตรการการควบคุมด้านมลพิษ ปัญหาการปล่อยควัน ฝุ่นละออง และมลพิษจากอาคาร ที่พัก โรงแรม ห้างร้าน และโรงงานต่างๆ ปัญหาการจราจร บรรทุก ขนส่งในเขตเมืองที่คับคั่งและขาดการกำกับดูแลเอาใจใส่ในมาตรการลงโทษทางกฎหมายผู้ผ่าฝืนกฎหมาย ปัญหาเส้นทางการจราจรที่เต็มไปด้วยมลพิษ ควันเสีย ฝุ่นละอองต่างๆ เป็นต้น
รัฐบาลไทยเริ่มให้ความสำคัญ หาวิธีการและแนวทางการแก้ไขปัญหา ฝุ่นละอองอนุภาคขนาดจิ๋ว หรือ PM 2.5 โดยการใช้เครื่องบินทำฝนเทียม การใช้โดรนปล่อยละอองน้ำบนอากาศ และการใช้รถดับเพลิงฉีดสเปร์น้ำละอองฝอย เพื่อให้ละอองน้ำผสมสารเคมีบางชนิดลองไปจับฝุ่นละอองอนุภาคขนาดจิ๋ว หรือ PM 2.5 ให้ตกลงมาบนพื้นดิน เพื่อลดปริมาณ PM 2.5 ในอากาศ และบางอาคารสูงๆ เริ่มมีการติดตั้งเครื่องพ่นสเปร์ละอองน้ำ หรือฉีดน้ำเป็นฝอยลงมาจากตึกสูงเหมือนฝนตกเบาๆ เพื่อช่วยในการจับฝุ่นละอองขนาดเล็กที่แขวนลอยในอากาศ เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ นับเป็นปรากฎการณ์แห่งความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา PM 2.5 แม้จะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม ที่ทุกภาคส่วนเริ่มเห็นความสำคัญกับปัญหามลพิษทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะ
ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ และภาคประชาชน ในส่วนของนักวิชาการเช่น นายสนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ได้ออกมาให้คำแนะนำวิธีการที่ถูกต้องในการติดตั้งเครื่องพ่นสเปร์ละอองน้ำ หรือฉีดน้ำเป็นฝอยลงมาจากตึกสูง ตามหลักวิชาการ[3]   เช่น
1. ต้องติดตั้งหัวกระจายน้ำเป็นฝอยบนหลังคาของตึกสูงไม่เกิน 100 เมตร เรียกว่า Skyscraper sprinkler system โดยจะพ่นละอองฝอยของน้าขนาด  0.1 - 3 ไมครอน ( ขนาดใกล้เคียงฝุ่น 2.5 ) ออกไปสู่บรรยากาศโดยรอบในรัศมีอย่างน้อย 50 เมตร เพื่อให้สามารถจับฝุ่นดังกล่าวลงสู่พื้นดินได้โดยต้องทำพร้อมกันหลายๆ ตึกในระดับความสูงไม่เกิน100 เมตรโดยทำในวันที่มีค่า PM 2.5 สูงเกินมาตรฐาน และลมสงบ ( Bad day )
2. การพ่นละอองน้ำต้องทำอย่างต่อเนื่องกันอย่างน้อย 30 นาที และเว้นระยะ 30 นาที - 1 ชม. จึงพ่นต่อได้ จะสามารถลดฝุ่นลงได้ถึงร้อยละ 70 ในบริเวณดังกล่าว
3. ในต่างประเทศตึกที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำหรือแม่น้ำที่สะอาดก็สามารถดูดขึ้นมาและพ่นออกไปเป็นฝอยเล็กๆได้ซึ่งจะประหยัด ใช้พลังงานน้อย และได้ผลกว่าที่คิด
4. วิธีการที่จะช่วยบรรเทาลดความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดเล็กลงที่ดีที่สุดคือ การไป x-ray พื้นที่ และจัดการกับแหล่งต้นกำเนิดมลพิษจะดีและถูกต้องที่สุด

จากแนวความคิดและวิธีการแก้ปัญหา PM 2.5 แบบง่ายๆ ดังกล่าว ที่ได้ผลแบบยั่งยืนระยะยาว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่าย ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเจ้าของอาคารสูงในการติดตั้งอุปกรณ์ และการสนับสนุนของภาครัฐด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม และการสนับสนุนงบประมาณค่าใช้จ่าย ตลอดจนมาตรการส่งเสริมและจูงใจเจ้าของอาคารให้ช่วยกันติดตั้งอุปกรณ์ฯ เพื่อตอบแทนและรับผิดชอบต่อสังคม ( CSR ) โดยสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ จะเป็นมาตรการกระตุ้นและจูงใจให้เจ้าของอาคารสูงๆ หันมาให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา PM 2.5
ทั้งนี้รัฐบาลจะต้องมีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศ ( IT , เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ หรือระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ( GIS ) มาบริหารจัดการพื้นที่และปริมาณมลพิษทางสิ่งแวดล้อม โดยการติดตั้งเครื่องมือมาตรวัดต่างๆ เชื่อมโยงกับระบบเซ็นเซอร์ และระบบควบคุมอุปกรณ์เครื่องพ่นสเปร์ละอองน้ำแบบอัตโนมัติ เพื่อให้อุปกรณ์สามารถทำงานแบบอัตโนมัติ เมื่อค่ามลพิษมีปริมาณสูงในระดับที่อาจจะก่อให้เกิดอันตราย ทำนองเดียวกับ ระบบฟาร์มอัจฉริยะ หรือ Smart Farm เพื่อให้การป้องกัน บรรเทา ปัญหา PM 2.5 ประสบความสำเร็จ มีความต่อเนื่องและยั่งยืน รวมถึงการกำหนดมาตรการลงโทษ มาตรการป้องปราม มาตรการป้องกัน และมาตรการส่งเสริมสนับสนุน ในระยะยาว ต่อไป
---------------------------------------------------
อ้างอิง : 
[1] https://mgronline.com/around/detail/9620000010592
[2] https://www.airvisual.com/?fbclid=IwAR0s1gPX_vyxcW2l2iiNvykdlqa8yLkvQqeCzV-8C_dZdT88OhN6Lg7YKPQ