วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561

กิจการอวกาศเพื่อความมั่นคง กระทรวงกลาโหม vs. ฝันให้ไกล ไปให้ถึง ?

กิจการอวกาศเพื่อความมั่นคง กระทรวงกลาโหม vs. ฝันให้ไกล ไปให้ถึง ?
โดย พลเอก ฤทธี  อินทราวุธ
หัวหน้าที่ปรึกษา คณะทำงานด้านกิจการอวกาศ กระทรวงกลาโหม 
---------------------------------------
กิจการอวกาศของประเทศไทย ได้มีการดำเนินงานมานานแล้ว ทั้งในรูปแบบโดยตรงและโดยอ้อม ก่อนที่จะมีการจัดตั้ง สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ( องค์การมหาชน ) หรือ สทอภ.
( GISTDA ) ในปี 2543 หากพิจารณาจากนิยามคำว่า “ กิจการอวกาศ ” หมายถึง กิจกรรมอวกาศ และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับอวกาศ โดย “ กิจกรรมอวกาศ ” รวมความถึง การสำรวจ การทดลองในอวกาศ การส่งวัตถุอวกาศ วัตถุ มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตขึ้นสู่อวกาศ การดำเนินการเพื่อการส่งหรือให้วัตถุอวกาศโคจรในอวกาศหรือกลับคืนสู่พื้นโลก และ “ กิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับอวกาศ ” รวมความถึง การออกแบบ การผลิตวัตถุอวกาศ การศึกษา ค้นคว้า วิจัย หรือพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอวกาศหรือภูมิสารสนเทศ [1] ซึ่งประเทศไทยเราได้มีการศึกษา ค้นคว้า วิจัยงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอวกาศ ภูมิสารสนเทศ และอวกาศ มานานแล้ว ทั้งในสถาบันการศึกษา และองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการสังเกตุการณ์ทางดาราศาสตร์
ประเทศไทยได้เข้าร่วมโครงการ NASA ERTS-1 ซึ่งเป็น ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรดวงแรกของโลก เมื่อ 14 กันยายน 2514 ภายใต้การดำเนินงานของ โครงการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติด้วยดาวเทียม สำนักงาน
คณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ โดย ทำหน้าที่ประสานงาน จัดหาข้อมูลดาวเทียม ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ถ่ายทอดเทคโนโลยี ตลอดจนจัดหาทุนฝึกอบรม ดูงาน และการประชุมทั้งระดับประเทศและนานาชาติ ต่อมาได้จัดตั้ง กองสำรวจทรัพยากรธรรมชาติด้วยดาวเทียม ในปี 2522 และ 2525 ได้จัดตั้งสถานีรับสัญญาณดาวเทียม ขึ้นที่เขต
ลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร นับเป็นสถานีรับสัญญานดาวเทียมแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อมาในปี 2543 กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ได้จัดตั้งหน่วยงานใหม่โดยรวม กองสำรวจทรัพยากรธรรมชาติด้วยดาวเทียม สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และ ฝ่ายประสานงานและส่งเสริมการพัฒนาระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ศูนย์ข้อมูลข้อสนเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ตั้งเป็น สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ถือเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจการอวกาศของประเทศ[2]
กิจการอวกาศเพื่อความมั่นคง  กระทรวงกลาโหมได้มีแนวความคิดในการพัฒนาด้านกิจการอวกาศมาอย่างต่อเนื่องจากอดีตจนถึงปัจจุบัน [3]   เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคง เช่น การสังเกตการณ์ห้วงอวกาศ การตรวจการณ์ทางอวกาศมายังภาคพื้นดินและพื้นน้ำ การสื่อสารและโทรคมนาคม เป็นต้น ซึ่งสามารถสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคงของเหล่าทัพ ทั้งการปฏิบัติการภายในประเทศ และการปฏิบัติการร่วม/ผสมกับต่างประเทศ อย่างสมบูรณ์และไร้ขีดจำกัด กระทรวงกลาโหมได้เคยมีหน่วย ศูนย์พัฒนากิจการอวกาศกลาโหม ( ศพอ.กห.) ตั้งแต่  1  เมษายน 2539  และต่อมาได้มีการปรับปรุงโครงสร้างหน่วยและเปลี่ยนชื่อนามหน่วยเป็น กรมเทคโนโลยีสารสนเทศและอวกาศกลาโหม ( ทสอ.กห.)  เมื่อ ตุลาคม 2547 เพื่อรองรับเทคโนโลยีสารสนเทศที่กำลังมีความสำคัญมากในขณะนั้น โดยยังคงมี กองกิจการอวกาศ[4]  ดูแลรับผิดชอบงานด้านกิจการอวกาศ ของกระทรวงกลาโหม โดยมีหน้าที่วางแผน อำนวยการ ประสานงาน เสนอแนะ กำกับดูแล และดำเนินการด้านกิจการอวกาศ และภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อความมั่นคง
นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามการจัดตั้งหน่วยงานสาขาใหม่ของกองทัพ เมื่อ 18 มิถุนายน 2561 เป็น กองกำลังอวกาศ[5] หรือ สเปซฟอร์ซ ( Space Force ) เป็นหน่วยเอกเทศ มีสถานะ
เทียบเท่า กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ เพื่อให้มั่นใจว่า อเมริกาจะเป็นมหาอำนาจด้านอวกาศไม่แพ้จีนและรัสเซีย พร้อมได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหมเริ่มขั้นตอนการก่อตั้งหน่วยงานนี้ทันที ในฐานะกองทัพที่ 6 ของสหรัฐอเมริกา มี พลเอกโจเซฟ ดันฟอร์ด ประธานคณะเสนาธิการร่วม เป็น ผู้บังคับบัญชา
กิจการอวกาศ เป็นเรื่องที่ทุกประเทศให้ความสำคัญไม่เฉพาะประเทศมหาอำนาจ ซึ่งประเทศไทยกำลังพิจารณายกร่างกฎหมาย โดยตราเป็น พระราชบัญญัติกิจการอวกาศ[6] พ.ศ. ..... โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
1.   เพื่อยกระดับกฎหมายด้านกิจการอวกาศของประเทศไทย
2. ให้ประเทศไทยมี นโยบาย ทิศทาง และขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีอวกาศทัดเทียมกับนานาชาติ สามารถพึ่งพาตนเอง และนำไปสู่การสร้างรายได้ให้กับประเทศในอนาคต
3. เพื่อกำกับกิจการอวกาศ และส่งเสริมให้เทคโนโลยีอวกาศสร้างคุณค่าต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนในประเทศ ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
4. เป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีของตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อแสดงความรับผิดชอบร่วมกัน และแสดงให้เห็นว่า พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลกในการดำเนินกิจการอวกาศ ตามภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยหลักเกณฑ์ในการดำเนินกิจการของรัฐเพื่อการสำรวจ และการใช้อวกาศภายนอกดวงจันทร์และเทหะในท้องฟ้าอื่น ๆ ค.ศ. 1967 ความตกลงว่าด้วยการช่วยชีวิตนักอวกาศการส่งคืนนักอวกาศและการคืนวัตถุที่ส่งออกไปในอวกาศภายนอก ค.ศ. 1968 อนุสัญญาว่าด้วยความรับผิดระหว่างประเทศสำหรับความเสียหายที่เกิดจากวัตถุอวกาศค.ศ. 1972 และอนุสัญญาว่าด้วยการจดทะเบียนวัตถุอวกาศ  ค.ศ. 1975
กระทรวงกลาโหม ในฐานะหน่วยงานของรัฐ ซึ่งมีภารกิจในด้านการพัฒนาประเทศ และเป็นหน่วยงานหลักด้านความมั่นคง มองเห็นความสำคัญด้านกิจการอวกาศ ซึ่งมีบทบาทสำคัญทั้งด้านการขับเคลื่อนนโยบาย 
ดิจิทัล
เพื่อสนับสนุน “ ไทยแลนด์ 4.0 ” การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และประเทศชาติ  การแก้ไขปัญหาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม การป้องกันบรรเทาและช่วยเหลือภัยพิบัติต่างๆ ตลอดจนการแก้ไขปัญหาความมั่นคงต่างๆ จึงได้เร่งดำเนินการผลักดันการดำเนินงานด้านกิจการอวกาศเพื่อความมั่นคง ให้เกิดความเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งด้านนโยบาย ยุทธศาสตร์ แผนแม่บท แผนงาน และการดำเนินการ รวมถึงการพัฒนาองค์กรและบุคลากรให้มีขีดความสามารถและศักยภาพทางด้านกิจการอวกาศ เพื่อรองรับภารกิจและการปฏิบัติงานขององค์กรในระดับ “ ศูนย์กิจการอวกาศกลาโหม ” การสร้างองค์ความรู้ การสร้างการรับรู้ให้กับกำลังพล ตลอดจนการประสานความร่วมมือระหว่างองค์กรในกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย เหล่าทัพ และองค์กรภายนอก ตลอดจนองค์กรระหว่างประเทศ ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการรองรับการปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ...... และ แผนแม่บทกิจการอวกาศแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 ( National Space Master Plan 2017 - 2036 ) รวมถึงการเตรียมการด้านบุคลากรของกระทรวงกลาโหมในการรองรับการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับ โครงการดาวเทียมสื่อสารภาครัฐ จากการหมดสัญญาสัมปทาน ดาวเทียม THAICOM 4 ( IP STAR ) และ ดาวเทียม THAICOM 5 ซึ่งจะตกเป็นทรัพย์สินของรัฐภายใน 3 - 4 ปีข้างหน้า  และโครงการดาวเทียมสำรวจทรัพยากรโลก หรือดาวเทียมถ่ายภาพ ความละเอียดขนาด 50 เซนติเมตร ตามโครงการ THEOS-2 ในอนาคตอันใกล้ภายใน 3 ปีนี้
การจัดสัมมนา กิจการอวกาศเพื่อความมั่นคง [7]ของ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่ โรงแรมทินิดี โฮเต็ล เมื่อ 4 ธันวาคม 2561 นับเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นรูปธรรมของการพัฒนาด้านกิจการอวกาศเพื่อความมั่นคง ของ กระทรวงกลาโหม โดยมี ลอากากาศเอก ปรเมศร์ เกษโกวิท รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานใน
พิธีเปิดการสัมมนาฯ ซึ่งมีหัวข้อในการสัมมนา คือ 1.ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกิจการอวกาศ 2. ความรู้เกี่ยวกับการเฝ้าระวังทางอวกาศ 3.ความรู้เกี่ยวกับระบบดาวเทียมสื่อสาร 4.ความรู้เกี่ยวกับระบบดาวเทียมสำรวจ หรือดาวเทียมถ่ายภาพ เพื่อสร้างความพร้อมด้านกิจการอวกาศ ของหน่วยงานภายในกระทรวงกลาโหม ให้สามารถนำเทคโนโลยีอวกาศไปใช้ในการปฏิบัติภารกิจทางด้านความมั่นคง รวมทั้งการรักษาผลประโยชน์ของชาติ การพัฒนาประเทศ และการช่วยเหลือประชาชน
กิจการอวกาศเพื่อความมั่นคง ของ กระทรวงกลาโหม เป็นเรื่องสำคัญที่มีการกล่าวถึงกันมานาน แต่ยังไม่สามารถทำให้ปรากฎมรรคผลอย่างเป็นรูปธรรม เพราะหลายคนมองว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัว ไกลเกินเอื้อม ไกลเกินฝัน
แต่ทุกอย่างย่อมมีจุดเริ่มต้น ส่วนจะไปได้ไกลแค่ไหน อยู่ที่ความมุ่งมั่นและความพยายาม ดังคำกล่าววลีเด็ดที่ว่า “ ฝันให้ไกล ไปให้ถึง ” และคำว่า “ ล้มเหลวได้ แต่อย่าล้มเลิก ” 2 วลีนี้ ถ้าเรามีความเชื่อมั่นว่าทำได้ สักวันหนึ่งต้องสำเร็จ เช่นเดียวกับ “ กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว ”
---------------------------------------------------
อ้างอิง : 
[1] เอกสารการบรรยาย เรื่อง กิจการอวกาศของประเทศไทย โดย นาย พีร์ ชูศรี รอง ผอ.สทอภ. ในการสัมมนา กิจการอวกาศเพื่อความมั่นคง กระทรวงกลาโหม เมื่อ 4 ธ.ค.61
[2] https://gistda.or.th/main/th/node/66
[4] http://space.dist.mod.go.th/
[6] https://www.gistda.or.th/main/system/files_force/article/2582/file/document_space-14003.pdf?download=1
[7] https://www.gistda.or.th/main/th/node/2865

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2561

พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ.….ใครได้ ? ใครเสีย ?


พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. …. .
ใครได้ ? ใครเสีย ?
โดย พลเอก ฤทธี  อินทราวุธ
----------------------------------
หัวข้อประเด็น Talk of the town ที่ผู้คนในวงการไซเบอร์ และไอที ของไทยในเวลานี้ กำลังกล่าวถึงกันอย่างกว้างขวาง ซื่งถือเป็น " เผือกร้อน " ของรัฐบาล คงไม่มีใครที่ไม่หันมาจับตามองเกี่ยวกับ ร่าง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ…….ที่กำลังเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของ สมาชิกนิติบัญญัติแห่งชาติ ( สนช.) ในขณะนี้
พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ.….ใครได้ ? ใครเสีย ? เพราะอะไร ? และทำไมผู้คนในวงการไซเบอร์ และไอที ของไทย รวมถึงนักวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ต่างหันมาให้ตวามสนใจ ตื่นตระหนก
วิตกกังวล และห่วงใยในผลกระทบต่อหน่วยงานรัฐ , กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศที่มีความเสี่ยงของประเทศ ( Critical Information Infrastructure : CII ) , กลุ่มภาคธุรกิจ , เอกชน และ ประชาชนทั่วไป ซึ่งอาจจะติดตามมาจากการประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. …. .ฉบับนี้ หากไม่ได้มีการแก้ไขปรับปรุงร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้เสียก่อน ที่จะผ่าน สนช.ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีความเข้าใจเรื่องไซเบอร์ !
ประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในวงการไซเบอร์ และไอที ส่วนใหญ่จะเป็นประเด็นหลักเกี่ยวกับ การปฏิบัติในโลกของความเป็นจริงแบบมาตรฐานเดียวกัน เพื่อไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ฯ หรือการปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน , การเพิ่มภาระให้กับเจ้าหน้าที่ดูแลระบบฯ , การเพิ่มภาระการลงทุนของหน่วยงานและองค์กรต่างๆ , การให้อำนาจเจ้าหน้าที่ฯ จนเกินขอบเขต ซึ่งจะนำไปสู่การใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ หรือใช้เป็นช่องทางการเรียกรับผลประโยชน์ , การเปิดโอกาสและช่องทางในการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้โดยไม่มีการกำกับตรวจสอบถ่วงดุล และการเอื้อประโยชน์แก่ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ หรือ CSA ที่ให้มีอำนาจถือหุ้น ร่วมทุน ทำให้มีสถานะเป็น Operator และ Regulator เป็นต้น โดยมีผู้ให้ความคิดเห็นบางท่าน ดังนี้
พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน หนึ่งใน คณะกรรมการเตรียมการด้านรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ มองปัญหาตามร่างกฎหมายฉบับนี้ เป็นต้นว่า 
กรณีที่กำหนดให้ผู้ดูแลระบบสารสนเทศ ต้องจัดให้มีการประเมินความเสี่ยงอย่างน้อยปีละครั้ง ผู้ใดฝ่าฝืน มีโทษปรับสองแสนบาท หรือ วันละหนึ่งหมื่นบาท และหากเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการรักษาความ
มั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กปช.) เห็นว่า การประเมินความเสี่ยงไม่น่าพอใจ ผู้ดูแลระบบ ต้องทำใหม่อีกครั้ง ผู้ดูแลระบบยังต้องกำหนดให้มีกลไกการเฝ้าระวัง และ ต้องเข้าร่วมทดสอบความพร้อมของระบบ อีกด้วย

เมื่อหน่วยงานควบคุม หรือกำกับดูแล ทราบเหตุ ให้สนับสนุน ช่วยเหลือ และแจ้งหน่วยอื่นให้ทราบด้วย รวมทั้งให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ มีหนังสือเรียกบุคคลให้ไปให้ข้อมูล ในเวลาที่เหมาะสม หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่มีหนังสือขอข้อมูล หรือสำเนาข้อมูลเอกสารซึ่งอยู่ในความครอบครองของผู้อื่นอันเป็นประโยชน์แก่การดำเนินการ ต้องจัดการให้ตามนั้น ใครฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

# ประเด็นดังกล่าวข้างต้นตามความเห็นของผู้เขียน " ใครที่มีหน้าที่ดูแลด้านไซเบอร์และไอที ของหน่วยงานต่างๆ คงต้องเปลี่ยนอาชีพใหม่ ถ้าไม่อขากเสี่ยงที่จะถูกปรับ หรือเปล่า ? หรือ หน่วยงานต่างๆ คงจะต้องลงทุนจ้างบริษัทรับประกันความเสี่ยงในการปฏิบัติตามกฎหมาย ? "

พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ หรือสถานประกอบการใด ที่เกี่ยวข้องหรือคาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ของบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้รับความยินยอมจากผู้ครอบครองสถานที่นั้น
นอกจากนี้ เลขาธิการ กปช. ยังมีอำนาจสั่งการให้หน่วยงานของรัฐด้านความมั่นคง ดำเนินการป้องกัน และ รับมือภัย เช่น สั่ง หน่วยงานทางทหารหรือตำรวจ หรือสั่งให้ ผู้บริหารรถไฟฟ้า BTS หยุดการเดินรถ เพราะมีสัญญาณไปรบกวนได้ด้วย เป็นต้น
ซึ่ง พ.ต.อ.ญาณพลฯ เห็นว่า คำว่า ระดับร้ายแรงนั้น เขียนไว้กว้างเกินไปแบบครอบจักรวาล เช่น ถ้ามีความรุนแรงที่ก่อหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล หรือทรัพย์สินสารสนเทศที่สำคัญ หรือมีจำนวนมาก มาตรานี้ซึ่งตีความได้กว้างมาก เปิดช่องให้พนักงานเจ้าหน้าที่ สามารถบุกบ้านของเราได้ หากคอมพิวเตอร์ของบ้านเราถูกไวรัสโจมตี เป็นต้น
หรือถ้า กปช. เห็นว่า เซิร์ฟเวอร์ของท่านมีปัญหา ไม่ว่าเป็นเครื่องที่ถูกโจมตีหรือเครื่องที่จะนำไปใช้โจมตีผู้อื่น ให้เหมารวมเอาไว้ก่อนว่า ถือเป็นเครื่องที่เกี่ยวข้องกับภัยคุกคาม ถ้าได้รับความยินยอมจากผู้ครอบครองสถานที่ซึ่งเซิร์ฟเวอร์นั้นตั้งอยู่ (จะมีสักกี่คนที่กล้าขัดขืน) ทางการสามารถ เข้าไปตรวจค้น และ เข้าถึงทรัพย์สินสารสนเทศ เช่น ระบบเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือฮาร์ดดิสก์ ทั้งยังสามารถทดสอบการทำงานของเครื่องเหล่านั้น ซึ่งบางทีอาจเป็นข้อมูลสำคัญหรือเป็นความลับทางการค้า รวมทั้งยังสามารถยึดเอาเครื่องไปตรวจสอบได้ถึง 30 วัน ซึ่งบางคนบอกว่า เล่นจัดหนักให้อำนาจกันถึงขนาดนี้ ควรย้ายเซิร์ฟเวอร์ไปอยู่ในต่างประเทศกันซะให้หมดเลยดีไหม?
เทียบกับกรณีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงาน DSI จะเข้าไปตรวจค้นที่ใด หลังจากทำให้เป็นคดีพิเศษแล้ว จึงจะมีอำนาจเข้าไปตรวจค้นได้ หรือในกรณีที่ต้องการจะแอบดักฟังการสนทนา ต้องไปขออนุญาตต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาก่อนแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น จากนั้นให้จัดทำสำเนาไว้ 2 ชุด มอบให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา 1 ชุด อีกชุดเก็บไว้ใช้ดำเนินการสอบสวนต่อ

# ประเด็นดังกล่าวข้างต้นตามความเห็นของผู้เขียน มองว่า " เป็นการให้อำนาจทางกฎหมายแก่ เจ้าหน้าที่ฯ จนเกินขอบเขตการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล โดบไม่มีกระบวนการพิจารณากลั่นกรอง แบบคดีพิเศษของ DSI หรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ปี 60 ฉบับล่าสุด "
ด้าน พล.อ.บรรเจิด เทียนทองดี คณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติให้ความเห็นว่า การร่างกฎหมายที่ดีควรร่างมาจากความเห็นที่หลากหลายของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง คุณภาพของกฎหมายเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่จำนวนกฎหมาย ที่เร่งออกมากันมากมาย เพื่อให้ดูมีผลงาน
ร่างกฎหมายนี้คล้ายกับร่างกฎหมายอีกหลายฉบับ ที่ผู้ร่างจงใจเขียนออกมาเพื่อตอบโจทย์ตัวเอง เอาไว้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการของตัวเอง หรือสร้างอำนาจและอาณาจักรของตัวเองขึ้นมา เท่าที่ทราบมีการไปลอกบางส่วนมาจากกฎหมายไซเบอร์ของสิงคโปร์ แต่เอามาเขียนให้กระทรวงดิจิทัลฯเป็นใหญ่
ขณะที่ ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ประเมินผลกระทบของ พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ.......... ว่าจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนา
เศรษฐกิจดิจิทัล และมีเนื้อหาหลายส่วนอาจขัดขวางต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มต้นทุนในการประกอบการ และส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน และการดำเนินการของภาคธุรกิจอีกด้วย ซึ่งประเมินว่าพ.ร.บ.ฉบับนี้จะส่งผลกระทบอย่างน้อย 9 ด้าน ดังนี้
ด้านที่1 กฎหมายฉบับนี้จะก่อให้เกิดอุปสรรคต่อความคิดสร้างสรรค์ การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและเนื้อหาบางส่วนอาจขัดขวางต่อการขยายตัวเติบโตของเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม
ด้านที่ 2 เปิดโอกาสและช่องทางในการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้โดยไม่มีการกำกับตรวจสอบถ่วงดุลที่ดีพอ อำนาจของเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ หรือ กปช ใน มาตรา 46, 47, 48, 54, 55, 56, 57 มีความอ่อนไหวสูงต่อการใช้อำนาจรัฐละเมิดสิทธิประชาชนหรือองค์กรหรือกิจการธุรกิจต่างๆ และอำนาจบางอย่างที่ระบุไว้ในกฎหมายต้องผ่านคำสั่งศาล เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิพื้นฐานของประชาชนและองค์กรต่างๆ รวมทั้งเกิดช่องทางหาผลประโยชน์ในทางที่มิชอบ โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายและเกิดการทับซ้อนทางผลประโยชน์ได้ ควรมีการใช้อำนาจดุลยพินิจของเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ หรือ กปช และ เจ้าหน้าที่ให้น้อยที่สุด
ด้านที่ 3 โครงสร้างการบริหารขาดการมีส่วนร่วมและยังไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี เนื่องจากผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการ กปช มาจากการแต่งตั้งโดยรัฐมนตรีทั้งหมด จึงขาดกรรมการมืออาชีพที่เป็นอิสระในการถ่วงดุลการใช้อำนาจของรัฐ 
ด้านที่ 4 ทรัพย์สินสารสนเทศในมาตราสาม ครอบคลุมอุปกรณ์และทรัพย์สินส่วนบุคคลของประชาชนและองค์กรต่างๆ เช่น มือถือ อุปกรณ์สื่อสารส่วนบุคคล Internet of Thing ด้วยจึงอาจก่อให้เกิดการจำกัดเสรีภาพและละเมิดสิทธิอย่างกว้างขวางได้หากผู้ใช้อำนาจไม่คำนึงถึงหลักการประชาธิปไตยและหลักสิทธิมนุษยชน 
ด้านที่ 5 ในมาตรา 64 การรับผิดชอบควรเกิดขึ้นเมื่อมีการฝ่าฝืนกฎหมายโดยไม่มีเหตุอันควร และ ต้องให้สิทธิผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ลดโอกาสในการกลั่นแกล้งกัน เพื่อให้กฎหมายเป็นไปตามหลักนิติธรรม 
ด้านที่ 6 มีปัญหาเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ หรือ CSA มีอำนาจถือหุ้น ร่วมทุน จึงมีสถานะทั้งเป็น operator และ regulator ทำให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ หรือ Conflict of Interest ได้ 
ด้านที่ 7 มีการรวบอำนาจไว้ที่หน่วยงานเดียว จึงขาดการตรวจสอบถ่วงดุล
ด้านที่ 8 การกำหนดหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศไม่ครอบคลุมเพียงพอ ไม่ครอบคลุม Critical Infrastructure สำคัญ ควรมีการระบุผลกระทบและเกณฑ์ขนาดของหน่วยงานเพื่อไม่ไปสร้างภาระทางการลงทุนทางด้าน ITให้กับหน่วยงานขนาดเล็กที่ไม่มีความพร้อมหรือไม่มีศักยภาพเพียงพอ 
ด้านที่ 9 การที่ไม่ระบุอย่างชัดเจนว่าอะไรคือภัยคุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ขณะนี้จึงยังไม่สามารถพูดได้ว่า การส่งข้อมูลในอีเมล์ การส่งข้อมูลหรือเนื้อหาวิดีโอต่างๆทางสื่อสังคมออนไลน์ที่เห็นต่างจากผู้มีอำนาจรัฐ หรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจอาจถูกเหมารวมเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ก็ได้ ทั้งที่ไม่ได้เป็นภัยคุกคามทางไซเบอร์เป็นเพียงการเสนอความคิดเห็นอันเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐาน
ทั้งนี้ ผศ.ดร.อนุสรณ์ฯ ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า กฎหมายนี้แม้นจะมีความจำเป็นในการสร้างระบบความมั่นคงทางด้านไซเบอร์ แต่กระบวนการในการร่างกฎหมายต้องให้เกิดการมีส่วนร่วม และต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักการประชาธิปไตย "
" การมีกฎหมายที่กำลังบังคับใช้ใหม่ แต่อยู่บนฐานคิดที่ล้าหลัง อยู่ภายใต้กรอบคิดความมั่นคงแบบเก่าๆ และไม่เป็นประชาธิปไตยเป็นเรื่องอ่อนไหวต่อสังคม ต่อระบบการดำเนินธุรกิจและระบบเศรษฐกิจ "
" การมีกฎหมายหรือผู้ออกกฎหมายที่มุ่งไปที่มิติความมั่นคงมากเกินไป โดยไม่สนมิติทางเศรษฐกิจ มิติทางสังคม มิติทางด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิส่วนบุคคล เป็นเรื่องที่น่าห่วงใยอย่างยิ่งต่อสังคมไทยในอนาคต "

บทสรุปของ ร่าง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ.….ฉบับนี้ ว่าใครจะได้ ใครจะเสีย ? คงไม่เป็นการยากจนเกินไปนักในการที่จะทำความเข้าใจ เพราะประเด็นต่างๆ ที่สังคมตั้งประเด็นสงสัย คลางแคลงใจ โดยเฉพาะคนในวงการไซเบอร์ และไอที ระดับกูรูมืออาชีพชั้นนำของประเทศ ที่มีประสบการณ์การทำงานด้านนี้มานานกว่า 20 - 30 ปี คงไม่ได้มีอะไรแอบแฝง หรือมีวาระซ่อนเร้น แต่ด้วยความกังวลและห่วงใย ว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้ อาจจะถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่เเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน คนทั้งชาติ ตามเจตนารมณ์ของการออกกฎหมาย ?

---------------------------------------------------
อ้างอิง : 
https://www.thairath.co.th/content/1396446
https://www.thebangkokinsight.com/51957/https://www.ryt9.com/s/prg/2900732 
http://www.lawamendment.go.th/index.php/component/k2/item/1306-2018-09-27-07-35-21

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เหตุผล 8 ข้อ ที่ สนช. ไม่ควรรับร่าง พรบ.ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์


เสียงสะท้อนจากคนในวงการไซเบอร์ระดับชั้นนำของประเทศไทย ที่ไม่มีโอกาสเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการยกร่าง พรบ_ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ของกระทรวงดิจิทัลกับกฤษฎีกา รวมถึงบทบาทในการร่วมพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของ พรบ.ฉบับนี้ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบ ต่อ หน่วยงานรัฐ , CII , เอกชน และ ประชาชนทั่วไป จากการประกาศใช้ พรบ. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ หากไม่มีการแก้ไขร่าง พรบ ฉบับนี้ ก่อนผ่าน สนช.ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีความเข้าใจเรื่องไซเบอร์ !


เหตุผล 8 ข้อที่ สนช. ไม่ควรรับร่าง #พรบ_ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ของกระทรวงดิจิทัลกับกฤษฎีกา:-
1. #เปิดช่องให้ละเมิดสิทธิประชาชน: อำนาจของเลขา กปช. ใน (ม.46) (ม.47) (ม.48) (ม.54) (ม.55) (ม.56) (ม.57) (ม.58) หลายอย่าง sensitive, กว้าง, ไม่มีหลักเกณฑ์, ไม่มีการให้เหตุผล, ไม่มีการพิจารณาความสมเหตุสมผล, อาจเปิดช่องให้ละเมิดอำนาจกฎหมายอื่น/สิทธิโดยชอบตามกฎหมายของ CII และประชาชน และเปิด business risk ให้ CII ที่ให้ข้อมูลและคู่สัญญาตลอดจนผู้รับบริการ จึงควรต้องกระทำโดยอาศัยคำสั่งศาล ไม่ใช่ทำได้โดยใช้เพียงดุลพินิจของเลขา CSA
2. #มีผลกระทบต่อประชาชนอย่างกว้างขวาง: นิยาม ทรัพย์สินสารสนเทศ ใน (ม.3) ครอบคลุมถึงมือถือและ Internet of Thing ด้วย จึงเปิดโอกาสให้จำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชนอย่างมาก แต่ พรบ. กลับให้อำนาจเลขา กปช. โดยไม่มีการถ่วงดุลจาก คกก. กปช. (NCSC)
3. #โครงสร้างการบริหารขาดธรรมาภิบาล: กรรมการ NCSC มาจากภาครัฐ 7 คนกับผู้ทรงคุณวุฒิอีก 7 คน แต่กระบวนการสรรหาและคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิให้ รมว. กำหนด ซึ่งอาจไม่ได้คนที่อิสระมาถ่วงดุลการใช้อำนาจของรัฐบาล (ม.5)
4. #หน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ: การกำหนดหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (CII) ยังไม่ครอบคลุม critical infrastructure สำคัญทุกประเภท และควรระบุเกณฑ์ขนาดของหน่วยงาน/ผลกระทบด้วย ไม่ใช่สร้างภาระให้กิจการ/หน่วยงานเล็กๆ ที่ยังขาดศักยภาพในการดูแลตัวเอง นอกจากนี้ การทบทวนควรทำได้บ่อยเท่าที่จำเป็น ไม่ใช่ตายตัวที่ 2 ปี (ม.43)
5. #สิทธิพื้นฐานของผู้ถูกกล่าวหาตามหลักนิติธรรม: การรับผิดตาม (ม.64) ควรเฉพาะเมื่อฝ่าฝืนโดยไม่มีเหตุอันควร และต้องให้สิทธิผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์หรือโต้แย้งได้
6. #การรวบอำนาจเรื่องสำคัญไว้กับหน่วยงานเดียว: (บทเฉพาะกาล) ความรับผิดชอบหลายเรื่องตกกับ สพธอ. หรือ ETDA มากเกินไป มีลักษณะรวบอำนาจ ขาด check and balance ทั้งที่ Cyber Security เป็นงานสำคัญระดับชาติที่ควรระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่ให้กระทรวงดิจิทัล ดูอยู่คนเดียว
7. #ประเด็นความขัดแย้งทางผลประโยชน์: สนง. คกก. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (CSA) มีอำนาจถือหุ้น/ร่วมทุน ทำให้เป็นทั้ง player และ regulator และมี conflict of interest ได้ (ม.17)
- ผู้เชี่ยวชาญตาม (ม.41) ควรกำหนดให้มีวุฒิบัตรด้าน cyber security ที่ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของสากล
- การแจ้งชื่อผู้ดูแลระบบของ CII แก่ CSA หรือแจ้งก่อนเปลี่ยนแปลงผู้ดูแลระบบ 7 วัน ไม่ practical ไม่มีประโยชน์ และสร้างภาระแก่ CII โดยไม่จำเป็น (ม.44)
- การประเมินความเสี่ยงควรมีแนวทางที่เป็นหลักการมาตรฐาน ไม่ใช่ปล่อยให้ทำมาให้เลขา กปช. ดูว่าพอใจไหม (ม.47) (ม.48)
- การบังคับ CII ร่วมทดสอบความพร้อมในการรับมือ cyber threat ไม่ practical กับการทำงานของ CII ซึ่งต้องมีการเตรียมการ/จัดการทรัพยากรล่วงหน้า และมีระดับ risk หลากหลาย (ม.49)
- การรายงาน threat ที่เกิด/คาดว่าจะเกิด จะมีปริมาณมาก/เป็นภาระต่อ CII (ม.50) (ม.51)
- วิธี response ใน (ม.53) (ม.54) ล้าหลัง ไม่น่าทันเหตุการณ์ ไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีปัจจุบัน หรือไม่เหมาะกับการแก้ไข cyber threat ซึ่งต้องการ speed และ collaboration
download ตัวร่างที่ผ่าน ครม. รับหลักการได้จาก link
https://drive.google.com/open…
เครดิตภาพ พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน และสรุปความเห็นจากวงเสวนา #TISA ที่ G Tower เมื่อ 4 ตค.61
#CyberSecurityLaw
https://www.facebook.com/yanaphon/media_set?set=a.1963436750381899&type=3

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2561

รายการ มหานครอัจฉริยะ ( Technopolis ) ไทยรัฐทีวี ช่อง 32


รายการ มหานครอัจฉริยะ ( Technopolis ) ไทยรัฐทีวี ช่อง 32
สัมภาษณ์เรื่องราวสาระความรู้เกี่ยวกับ กิจการอวกาศและดาวเทียม เพื่อเก็บข้อมูลทำสกู้ปนำเสนอ มีสัมภาษณ์สดช่วงท้ายรายการ on air เมื่อวันเสาร์ที่ 28 ก.ค.2561 เวลา 1230
ดำเนินรายการโดย คุณจอห์น นูโว ( จอห์น รัตนเวโรจน์ )
--------------------------------------------------------------------------
1. พูดถึงระบบความเชื่อมโยง สารสนเทศ เทคโนโลยีในประเทศไทย ?
สารสนเทศ เป็น ข้อมูลดิจิตัล จึงสามารถที่จะเชื่อมโยงผ่านสื่อหรือมีเดียต่างๆ เช่นเดียวกับ การสื่อสารโทรคมนาคม ทั้งทางระบบใช้สาย และระบบไร้สาย ซึ่งเทคโนโลยีสารสนเทศและเครือข่ายการเชื่อมโยงของประเทศไทยคงไม่มีอะไรแตกต่างจากต่างประเทศมากนัก ยกเว้นในเรื่องคุณภาพและประสิทธิภาพของการบริการ
โดยเฉพาะระบบไร้สาย ซึ่งประเทศไทยเราส่วนใหญ่ยังอยู่ที่ระบบ 3G - 4G แต่บางประเทศได้มีการใช้ระบบ 4G LTE-A (Long Term Evolution - Advancedหรือ 4.5 G ไปจนถึง 5G กันแล้ว ซึ่งมีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลสารสนเทศทั้งในรูปแบบข้อความ ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว ได้ดีกว่า
ระบบการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศในยุคปัจจุบัน มักจะนิยมใช้การเชื่อมโยงเครือข่ายผ่านระบบสื่อสารดาวเทียม เพราะมีความสะดวกสบาย เกือบจะไร้ข้อจำกัดด้านพื้นที่ สามารถใช้งานผ่านทางโทรศัพท์มือถือแบบ Smart Phone ซึ่งมีการพกพาใช้งานกันเกือบทุกคน ตั้งแต่เด็กจนไปถึงผู้ใหญ่ ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในประเทศไทยเราซึ่งกำลังประสบกับปัญหาการจราจรติดขัดอย่างรุนแรง ทำให้การติดต่อนัดหมาย การยืนยันหลักฐาน การแสดงภาพแบบ Real Time รวมถึงการส่งภาพเหตุการณ์ และตำแหน่งต่างๆ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงแอฟฟริเคชั่นต่างๆ บนโทรศัพท์มือถือที่เชื่อมโยงเครือข่ายผ่านระบบสื่อสารดาวเทียม สามารถกระทำได้โดยง่ายและเป็นประโยชน์
2. อยากทราบถึงดาวเทียมในปัจจุบันมีทั้งหมดกี่ประเภท? มีกี่ดวงที่ใช้งาน การใช้งานแตกต่างกันอย่างไร?
ประเภทของดาวเทียม สามารถแบ่งได้ตาม ลักษณะการใช้งาน , ลักษณะของวงโคจร , ระดับความสูง และขนาดของดาวเทียม แต่ถ้าจะจำแนกตามลักษณะการใช้งานหรือการใช้ประโยชน์หลักๆ มีดังนี้
-                   ดาวเทียมสื่อสาร ( THAICOM , IntelSat , Iridium)
-                   ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรโลก หรือ ดาวเทียมถ่ายภาพ ( Theos , LandSat , RadarSat, Spot , QuickBird )
-                   ดาวเทียมนำร่อง หรือ ดาวเทียม GPS ( NavStar )
-                   ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา ( Noaa ถ่ายภาพภูมิอากาศ ติดตามพายุ )
-                   ดาวเทียมดาราศาสตร์ ( Galileo สำรวจดาวพฤหัส , Magellan สำรวจดาวศุกร์)
-                   ดาวเทียมจารกรรม ( Keyhole และ BigBird ของสหรัฐ , Cosmos ของรัสเซีย)
รายละเอียดอื่นๆ สามารถดูได้ในเว็บไซต์ของ GISTDA

3. ประเทศไทยใช้ประโยชน์อะไรจากดาวเทียมบ้าง?
ประเทศไทยเราใช้ประโยชน์จากดาวเทียมประเภทต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้ว ยกเว้นดาวเทียมจารกรรม ที่ใช้ในทางทหาร เพราะถือว่าเป็นความลับ ความมั่นคงของประเทศมหาอำนาจนั้นๆ  ดาวเทียมประเภทนี้จะต้องพัฒนา
สร้างขึ้นมาเองและนำส่งสู่ชั้นอวกาศเอง ไม่สามารถที่จะไปจ้างใครมาสร้างให้ได้ เพราะถือเป็นยุทโธปกรณ์ที่มีความสำคัญและเป็นความลับทางการทหาร เมื่อจะนำส่งขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ก็จะต้องสร้างจรวดนำส่งดาวเทียมขึ้นไปเอง ไม่สามารถนำส่งโดยใช้บริการจรวดนำส่งดาวเทียมจากบริษัทภาคธุรกิจเอกชนได้ เพราะไม่สามารถผ่านการ Declare รายละเอียดอุปกรณ์ และวัตถุประสงค์การใช้งานที่ขัดกับระเบียบการใช้ห้วงอวกาศขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับกิจการอวกาศนานชาติได้ ส่วนดาวเทียมประเภทอื่นๆ ประเทศไทยเราใช้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งดาวเทียมของไทย และของต่างประเทศ

4. ความต้องการการใช้งานดาวเทียมของประเทศไทยมีมากน้อยแค่ไหน และมีงานประเภทไหนบ้างที่ยังต้องการพึ่งพาการใช้ดาวเทียม?
ประเทศไทยเรามีความต้องการใช้งานดาวเทียมสูงมาก ทั้งดาวเทียมของไทย และการใช้ประโยชน์จากดาวเทียมต่างประเทศ เช่น
ดาวเทียมสื่อสาร ของไทยเรามี THAICOM 1 – 8 ปัจจุบันที่มีใช้งาน คือ THAICOM 4 ( IP Star เป็น ดาวเทียม Broadband เครือข่ายความเร็วสูง ) , THAICOM 5 - 8 (  เป็น ดาวเทียม Broadcast )  และดาวเทียมของต่างประเทศ เช่น IntelSat , Iridium เป็นต้น ซึ่งจำเป็นต่อระบบการติดต่อสื่อสารโทรคมนาคม ระบบกิจการกระจายเสียง ระบบกิจการโทรทัศน์ และระบบสารสนเทศ ทั้งข้อมูล ภาพ และเสียง
ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรโลก หรือ ดาวเทียมถ่ายภาพ ของไทยเรามี Theos และดาวเทียมของต่างประเทศ เช่น LandSat , RadarSat, Spot , QuickBird ซึ่งมีรายละเอียดคุณสมบัติของกล้องถ่ายภาพประเภทต่างๆ รวมถึงความ
ละเอียดของภาพ ( Resolution ) แตกต่างกันไป ซึ่งมีความจำเป็นในการสำรวจพื้นที่ การทำแผนที่ การบริหารจัดการพื้นที่ การวางผังเมือง การติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติ อุทกภัย วาตภัย ไฟป่า การบุกรุกป่าและทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น
ดาวเทียมนำร่อง หรือ ดาวเทียม GPS เราใช้ดาวเทียมของต่างประเทศ เช่น NavStar ในการ แสดงตำแหน่งบนผิวโลก ใช้นำทางในการขับรถไปไหนมาไหน ผ่านแอฟฟริเคชั่นแผนที่ GoogleMap หรือ Track เส้นทาง ผ่านอุปกรณ์ GPS หรือ โทรศัพท์มือถือ
ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา เราใช้ดาวเทียมของต่างประเทศ เช่น Noaa สำหรับดูสภาพภูมิอากาศ , พยากรณ์อากาศ และเส้นทางพายุต่างๆ ในเว็บไซต์ของกรมอุตุนิยมวิทยา หรือเว็บไซต์พยากรณ์อากาศต่างๆ
ดาวเทียมดาราศาสตร์ เราใช้ข้อมูลภาพเพื่อใช้ในการศึกษาด้านดาราศาสตร์ จากดาวเทียมของต่างประเทศ เช่น Galileo สำรวจดาวพฤหัส หรือ Magellan สำรวจดาวศุกร์ รวมถึงดาวเทียมดาราศาสตร์อื่นๆ ที่ใช้ในการสำรวจ Galaxy , จุดดับของดาวอาทิตย์ , พายุสุริยะ และดาวเคราะห์ต่างๆ

5. บทบาทของดาวเทียมที่จะมีต่อประเทศในอนาคตจะเป็นอย่างไร?
ประเทศไทยเราให้ความสำคัญในบทบาทของดาวเทียมและกิจการอวกาศมานานแล้วในอดีต ตั้งแต่การปล่อยดาวเทียมสื่อสาร  THAICOM มาจนถึงดาวเทียมสำรวจทรัพยากรโลก THEOS 1 เมื่อ 10 ปีที่แล้ว  แต่เนื่องจากเป็น
เทคโนโลยีที่ค่อนข้างจะมีการลงทุนสูง และองค์ความรู้บางส่วนเป็นความลับเชิงธุรกิจ ถึงแม้ว่าไทยเราจะส่งผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งไปร่วมทีมพัฒนาสร้างดาวเทียมดังกล่าว แต่เมื่อสร้างเสร็จกลับมา เราไม่สามารถต่อยอดการพัฒนาไปสู่การสร้างดาวเทียมด้วยตนเองได้เลย  เพราะการถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือ Technology Transfer ที่เราได้รับมานั้น ยังไม่เพียงพอเท่าที่ควร หรือองค์ความรู้บางอย่างเรายังเข้าไม่ถึง
ปัจจุบันประเทศไทยเราเริ่มให้ความสนใจ และมีการพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีอวกาศและดาวเทียมเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ บางสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษานอกจากจะมีสาขาวิชาดังกล่าวแล้ว ยังสามารถทำการวิจัยพัฒนาดาวเทียมขนาดเล็ก เช่น Cube Sat ได้สำเร็จ เช่น โครงการดาวเทียม KNACKSAT ของ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เป็นต้น
นอกจากนี้ผลพวงจากการที่ประเทศไทยได้ลงทุนสร้างดาวเทียมสำรวจทรัพยากรโลก THEOS 2 ของ GISTDA ซึ่งนอกจากจะได้รับประโยชน์จากการใช้งานดาวเทียมดาวหลักแล้ว ยังได้มีการเตรียมการพัฒนาบุคลากรจำนวนหนึ่งประมาณ 40 – 50 คน เพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจนถึงขั้นสามารถสร้างดาวเทียมขนาดเล็ก ( Micro Satellite ) ขนาดประมาณ 100 กิโลกรัม โดยจะพัฒนาในประเทศไทย ณ อุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โดยคนไทยให้สำเร็จ และปล่อยไปพร้อมๆ กับดาวเทียม THEOS 2
ส่วนในระดับชาติได้มีการแต่งตั้ง คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ขึ้นมากำกับดูแล หน่วยงานของรัฐบางหน่วยงาน ได้มีการจัดตั้งองค์กรด้านนี้ขึ้นมา เพื่อรองรับการทำงานของหน่วยงาน และรองรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาในด้านนี้ แม้จะเป็นจุดเริ่มต้น แต่ก็ทำให้มองเห็นทิศทาง บทบาท และอนาคตของดาวเทียมรวมถึงกิจการอวกาศของ
ประเทศไทยชัดเจนเพิ่มมากขึ้น ในด้านการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาบุคลากรในด้านนี้ เพื่อรองรับนโยบายขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 ด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม ที่เกี่ยวข้องกับกิจการอวกาศ โดยเฉพาะการเดินหน้า Startup ของ mu Space  บริษัทสัญชาติไทย ที่ประกาศจับมือกับ BLUE ORIGIN เตรียมสร้างจรวด New Glenn เพื่อส่งดาวเทียมในปี 2563

6. บทบาทสรุปในปัจจุบัน และอนาคต ของวงการสื่อสารของไทย ?
วงการสื่อสารของไทยในปัจจุบันได้มีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ในอนาคต ทั้งระบบโครงข่าย อุปกรณ์ สื่อ มีเดีย และแอฟฟริเคชั่นต่างๆ โดยเฉพาะการใช้งานบนโทรศัพท์มือถือแบบ Smart Phone ในปัจจุบันและอนาคต นับว่ามีบทบาทสำคัญและมีความจำเป็นสำหรับทุกๆ คน เพราะระบบสื่อสารดังกล่าว จะทำให้คนทุกมุมโลกสามารถเข้ามาใกล้ชิดกันมากขึ้น สามารถเข้าถึงเหตุการณ์ต่างๆ ได้รวดเร็วขึ้น และสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งข้อดีของวงการสื่อสารดังกล่าว ในมุมกลับกับอาจจะส่งผลกระทบในทางลบต่อสังคม หากข้อมูล ข่าวสาร เหตุการณ์ และการใช้งานถูกนำไปใช้ในทางที่มิชอบมิควร ดังนั้นการใช้งานและการบริโภคข้อมูลข่าวสารต่างๆ  จึงควรมีสติ และใช้มันด้วยความชาญฉลาด
-----------------------------------