สรรพกำลังด้านไซเบอร์
( Cyber Mobilization )
โดย พลโท ฤทธี
อินทราวุธ
ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงกลาโหม/
หัวหน้าคณะทำงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
กิจการอวกาศ และไซเบอร์
-----------------------------------------
ศักราชใหม่ 2018 ปีนี้ ช่วงเดือน มกราคม 2561 ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวในวงการไซเบอร์ที่สำคัญ
ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะการจัดตั้งองค์กรหน่วยงานด้านไซเบอร์
การรับสมัครบุคลากรด้านไซเบอร์ และการมอบนโยบายสั่งการด้านไซเบอร์ เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้นับเป็นสิ่งบอกเหตุที่แสดงถึงความ
สำคัญ ในการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยคุกคามด้านไซเบอร์
ของหน่วยงานความมั่นคงของประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย ภายหลัง พลเอก ประยุทธ์
จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายในการสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยรัฐบาลได้ตั้งเป้าผลิต “นักรบไซเบอร์” จำนวน 1,000 คน ในปี 2561 เพื่อ เฝ้าระวัง รักษาความปลอดภัย แก้ปัญหาหากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในโลกไซเบอร์ทั้งหมด[1]
สำหรับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเซีย
ที่มีข่าวสารความเคลื่อนไหวด้านไซเบอร์ โดยเฉพาะการจัดตั้ง หน่วยงานด้านไซเบอร์
ที่สำคัญ อาทิ เช่น
อินโดนีเซีย โดย นายโจโค เซเตียดี หัวหน้าสำนักงานไซเบอร์และการเข้ารหัสแห่งชาติ ของอินโดนีเซีย
ซึ่งเพิ่งสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง เมื่อต้นเดือน มกราคม พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา
ได้สรรหาผู้พิทักษ์ไซเบอร์หลายร้อยคน โดยกล่าวว่า
รัฐบาลจะพยายามอย่างที่สุดในการเพิ่มตำแหน่งต่าง ๆ ด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ด้วยบุคลากรที่ดีที่สุดที่มีอยู่
โดยต้องการทรัพยากรมนุษย์จำนวนมาก จึงวางแผนที่จะสรรหาบุคลากรหลายร้อยคนในเร็ว ๆ
นี้ ซึ่งรวมถึงผู้จบการศึกษาจากสถาบันด้านเทคโนโลยีภายในประเทศ และผู้ใดก็ตามที่มีความเชี่ยวชาญทางไซเบอร์และความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลที่กำลังมองหา
และนายเซเตียดีฯ ได้กล่าวต่อว่า ความรับผิดชอบของ “สำนักงานไซเบอร์และการเข้ารหัสแห่งชาติของอินโดนีเซีย”
คือ ให้การป้องกันในโลกไซเบอร์แก่องค์กรรัฐบาลต่าง ๆ แม้แต่ บริษัทเอกชน
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือให้แก่ สาธารณชน[2]
เวียดนาม ประกาศจัดตั้ง
“กองบัญชาการปฏิบัติการไซเบอร์สเปซ” เมื่อเดือน มกราคม ที่ผ่านมา
เพื่อปกป้องคุ้มครองอธิปไตยของประเทศบนโลกอินเทอร์เน็ต
ด้วยนายกรัฐมนตรีอ้างถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องต่อทะเลจีนใต้
และสถานการณ์ในภูมิภาคและโลกที่มีความซับซ้อน หน่วยสงครามไซเบอร์ของเวียดนามที่เพิ่งได้รับการเปิดเผยนี้
มีชื่อว่า กองกำลัง-47 ( Force-47 ) ประกอบด้วย
ทหารและพลเรือนที่เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ กว่า 10,000 คน
ขณะนี้ได้เริ่มปฏิบัติงานแล้วในหลายภาคส่วน โดยภารกิจหลักคือ
การเฝ้าจับตาการแสดงความคิดเห็นของประชาชนตามโซเชียลมีเดียต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยที่ผ่านมารัฐบาลไม่สามารถควบคุมการแสดงความคิดเห็นของประชาชนบนโซเชียลมีเดียได้มากนัก
เพราะบริษัทที่ให้บริการสื่อโซเชียลมีเดียในเวียดนามมาจากหลายประเทศทั่วโลก
และเวียดนามมีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอต่อการสอดส่องทั้งหมด[3]
สำหรับประเทศไทย
มีความเคลื่อนไหวด้านไซเบอร์ที่สำคัญ คือ การรับสมัครบุคลากรด้านไซเบอร์ ของ ศูนย์ไซเบอร์ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ที่เปิดรับสมัครพลเรือนรับราชการ 2 ตำแหน่ง ได้แก่
เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการด้านการตรวจประเมินมาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์
(security audit) และ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการด้านเทคนิค โดยได้รับอัตราเงินเดือนสำหรับ
ปริญญาตรี 15,000
บาท, ปริญญาโท 17,550 บาท และปริญญาเอก 21,140
บาท[4]
และจากผลการประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 1/2561 เมื่อ 31 มกราคม 2561
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานสภากลาโหม ได้สั่งการให้ กระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ หาแนวทางะละกลไก เพื่อรองรับ “Our Eyes Initiative” ความร่วมมือต่อต้านก่อการร้ายของ 6 ชาติอาเซียน พร้อมตั้ง “ศูนย์บัญชาการไซเบอร์กลาโหม” รองรับภัยคุกคามทั้งเชิงรุกและเชิงรับ โดยได้สั่งการให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ บูรณาการความร่วมมือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในประเทศ และกระทรวงกลาโหมมิตรประเทศ พัฒนาและเสริมขีดความสามารถด้านไซเบอร์ ทั้งเชิงรุก และเชิงรับ ในภาพรวมของกระทรวงกลาโหม โดยเน้นการผนึกกำลังด้านไซเบอร์ จากกำลังพลสำรอง และความร่วมมือเป็นสำคัญ[5]
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานสภากลาโหม ได้สั่งการให้ กระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ หาแนวทางะละกลไก เพื่อรองรับ “Our Eyes Initiative” ความร่วมมือต่อต้านก่อการร้ายของ 6 ชาติอาเซียน พร้อมตั้ง “ศูนย์บัญชาการไซเบอร์กลาโหม” รองรับภัยคุกคามทั้งเชิงรุกและเชิงรับ โดยได้สั่งการให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ บูรณาการความร่วมมือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในประเทศ และกระทรวงกลาโหมมิตรประเทศ พัฒนาและเสริมขีดความสามารถด้านไซเบอร์ ทั้งเชิงรุก และเชิงรับ ในภาพรวมของกระทรวงกลาโหม โดยเน้นการผนึกกำลังด้านไซเบอร์ จากกำลังพลสำรอง และความร่วมมือเป็นสำคัญ[5]
ด้าน พลเอก
เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้มอบนโยบายในการประชุมหน่วยขึ้นตรงสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
ครั้งที่ 1//2561 ให้หน่วยที่เกี่ยวข้องดำเนินการด้านไซเบอร์และกิจการอวกาศของกระทรวงกลาโหม
ให้มีขีดความสามารถรองรับภัยคุกคามทุกมิติ ทั้งนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ คณะทำงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
กิจการอวกาศ และไซเบอร์ ได้เร่งกลไกการขับเคลื่อนการผนึกกำลังเพื่อนำไปสู่ การระดมสรรพกำลังด้านไซเบอร์
ตาม ยุทธศาสตร์ไซเบอร์เพื่อการป้องกันประเทศ ของ กระทรวงกลาโหม ที่มีแนวความคิดในการนำขีดความสามารถผู้เชี่ยวชาญไซเบอร์พลเรือน
มารองรับภัยคุกคามไซเบอร์ในระดับชาติ โดยเปิดตัว Facebook “สรรพกำลังด้านไซเบอร์” ขึ้น เพื่อการรณรงค์และประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร ต่างๆใน URL : https://www.facebook.com/groups/1968092893453090/
“สรรพกำลังด้านไซเบอร์”
เป็น การระดมสรรพกำลัง กำลังสำรอง กำลังพลสำรอง และบุคคลพลเรือนชาย-หญิง
ที่มีความรู้, ความสามารถ,
ความเชี่ยวชาญ, มีประสบการณ์, ปฏิบัติงาน หรือ ผู้ที่มีความสนใจ งานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร,
งานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์, การปฏิบัติการทางไซเบอร์
และการปฏิบัติการข่าวสาร เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยคุกคามด้านไซเบอร์
และการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ บทความ ข้อมูลข่าวสาร แจ้งเตือนภัย
ตลอดจนการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง[6]
สำหรับแนวความคิดของ
“สรรพกำลังด้านไซเบอร์"
เป็นการแก้ไขปัญหาความขาดแคลนบุคลากรด้านไซเบอร์ของหน่วยงานความมั่นคง ซึ่งประสบปัญหาข้อจำกัดด้านระเบียบและกฎเกณฑ์เรื่องค่าจ้าง
ค่าตอบแทนในระบบราชการ ที่ต่ำกว่าภาคเอกชนพลเรือน
ทำให้ไม่สามารถสร้างแรงจูงใจให้ผู้ที่มีความรู้
ความสามารถในด้านไซเบอร์หันมาสนใจบรรจุในระบบราชการ รวมถึงปัญหาความสูญเปล่าในการผลิต
และการบรรจุใช้งานของกำลังสำรอง ที่ไม่ตรงกับคุณวุฒิความรู้ความสามารถ เช่น
นักศึกษาวิชาทหารหญิง ปี 5 ที่ศึกษาสาขาวิชาการที่เกี่ยวข้องกับงานด้านไซเบอร์
เมื่อติดยศ ว่าที่ ร้อยตรี แล้วไม่มีแผนการนำไปใช้งานในระบบกำลังสำรอง หรือ นักศึกษาวิชาทหารชาย-หญิง
ปี 4 – ปี 5 ที่กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยในสาขาวิชาการที่เกี่ยวข้องกับงานด้านไซเบอร์
ควรจะได้ไปฝึกอบรมวิชาทหารในหน่วยสายงานเทคนิคที่เกี่ยวข้องแทนการฝึกอบรมวิชาทหารแบบทั่วไป
หรือผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาโท ปริญญาเอก ในสาขาวิชาการที่เกี่ยวข้องกับงานด้านไซเบอร์
แต่จับสลากเกณฑ์ทหารได้ใบดำ บรรจุเป็นกองหนุนในตำแหน่ง พลทหาร หรือ
นายทหารชั้นประทวน ที่บรรจุในหน่วยกำลังรบ หน่วยสนับสนุนการรบ หน่วยสนับสนุนการช่วยรบ
ตามแผนป้องกันประเทศ
การดำเนินการของ
“สรรพกำลังด้านไซเบอร์"
แบ่งการดำเนินการออกเป็นด้านต่างๆ เช่น ด้านการจัดทำเพจประชาสัมพันธ์และช่องทางการติดต่อสื่อสาร,
ด้านการสำรวจข้อมูลสรรพกำลังด้านไซเบอร์ จากฐานข้อมูลกำลังสำรอง ข้อมูลการระดมสรรพกำลัง และข้อมูลผู้เชี่ยวชาญไซเบอร์พลเรือน, ด้านการจัดทำเนียบบัญชีข้อมูลสรรพกำลังด้านไซเบอร์พร้อมใช้งาน ( On Call List ), ด้านการจัดทำโครงสร้าง “ศูนย์บัญชาการไซเบอร์กลาโหม” เพื่อรองรับผู้เชี่ยวชาญไซเบอร์พลเรือน ปฏิบัติงานในส่วนของการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ต่อระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่น สาธารณูปโภค สื่อสาร คมนาคม ขนส่ง พลังงาน สาธารณะสุข ฯลฯ, ด้านการพัฒนาองค์ความรู้ของสรรพกำลังด้านไซเบอร์ในระดับพื้นฐานและบุคลากรในระดับผู้เชี่ยวชาญ, ด้านการพิจารณาปรับปรุงข้อกฎหมาย และกฏกระทรวงต่างๆ ทั้งระเบียบการบรรจุ เกณฑ์การเลื่อนยศนายทหารสัญญาบัตรกองหนุน และค่าตอบแทน เพื่อสร้างมาตรการจูงใจในการรองรับผู้เชี่ยวชาญไซเบอร์พลเรือน, การพิจารณาปรับปรุงแผนการฝึกศึกษาวิชาทหาร
การฝึกระดมสรรพกำลัง การฝึกกำลังพลสำรอง การฝึกซ้อมสถานการณ์ฉุกเฉิน และการฝึกตามแผนเตรียมพร้อมแห่งชาติ
รวมถึงด้านการแสวงหาความร่วมมือในระดับประเทศและระดับนานาชาติ โดยเฉพาะประเทศกลุ่มสมาชิกอาเซียน
เป็นต้น
-------------------------------------------
อ้างอิง :