แนวคิดการจัดตั้ง ศูนย์บัญชาการไซเบอร์กลาโหม
(Concept of Defense Cyber Command Center )
โดย พลโท ฤทธี อินทราวุธ
ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงกลาโหม
ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และไซเบอร์
สถานการณ์ความรุนแรงของภัยคุกคามและการโจมตีทางไซเบอร์ในปัจจุบัน นับวันจะทวีความเข้มข้นและความรุนแรงเพิ่มขึ้นตามลำดับ
ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ทั้งด้าน
การเมือง เศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา
และการทหาร
หลายประเทศได้มีความตระหนักและมีการตื่นตัวในการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับภัยคุกคามและการโจมตีดังกล่าว
โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การสหประชาชาติได้ออกมาแจ้งเตือนว่า
สงครามโลกครั้งที่ 3
อาจจะเกิดบนโลกไซเบอร์ วอนนานาชาติเร่งหาทางรับมือ [ 1 ]
สหรัฐฯ เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสงครามไซเบอร์มากที่สุด
โดยเริ่มปรับหลักนิยม ทางทหารใหม่ ได้เพิ่ม สมรภูมิการรบที่ 5 คือ ไซเบอร์โดเมน ให้เทียบเท่ากับสมรภูมิรบที่มีอยู่เดิม คือ บก
ทะเล อากาศ และอวกาศ สมรภูมิบกก็จะมี กองทัพบกรับผิดชอบ
สมรภูมิทะเลหรือมหาสมุทรก็จะมีกองทัพเรือดูแล
ส่วนห้วงอากาศก็จะมีกองทัพอากาศคอยปกป้องอยู่
ส่วนอวกาศนั้นจะมีหน่วยทหารที่รับผิดชอบโดยตรงอยู่แต่ยังไม่ถึงกับเรียกว่าเป็นกองทัพอวกาศ
ดังนั้นการที่กำหนดให้ไซเบอร์เป็นอีกหนึ่งสมรภูมิแห่งการสู้รบนั้น เพื่อที่จะได้จัดตั้งกองกาลังที่รับผิดชอบในการรบในสมรภูมินี้
โดยล่าสุดสหรัฐฯ ได้ก่อตั้งกองทัพไซเบอร์ขึ้น เรียกว่า กองบัญชาการไซเบอร์ (Cyber Command)
กองบัญชาการไซเบอร์ [ 2 ] (US
CYBERCOM) เป็น กองบัญชาการรบร่วมระดับรอง ( Sub-unified
command ) ขึ้นตรงกับกองบัญชาการด้านยุทธศาสตร์ (US STRATCOM) หน่วยบัญชาการไซเบอร์ตั้งอยู่ในฐานทัพฟอร์ทมีด
( Fort Meade ) มลรัฐแมร์รี่แลนด์
( Maryland ) ซึ่งเป็น
ศูนย์บัญชาการรบร่วม ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการปฏิบัติการทางทหารในไซเบอร์โดเมนทั้งหมด
ปัจจุบันประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเมื่อวันที่ 18 ส.ค. 60 ว่ากำลังยกระดับกองบัญชาการไซเบอร์จากเดิมอยู่ภายใต้กองบัญชาการด้านยุทธศาสตร์
ให้เป็นกองบังคับบัญชาพลรบรวม (Unified Combatant Command)
อย่างเต็มรูปแบบ และให้แยกออกจากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (NSA) ซึ่งก่อนหน้านี้กองบัญชาการไซเบอร์อยู่ภายในสำนักงานใหญ่ของ
NSA มาแล้ว 8 ปี
หน้าที่หลักของกองบัญชาการไซเบอร์ คือ การปกป้องระบบเครือข่ายที่ทหารเป็นผู้รับผิดชอบ
ในขณะที่ระบบเครือข่ายของรัฐบาลฝ่ายพลเรือนนั้นจะเป็นหน้าที่ของ กระทรวงโฮมแลนด์ซีเคียวลิตี้
หน่วยบัญชาการไซเบอร์จะมีส่วนของกองกำลังที่อยู่ในสังกัดเหล่าทัพต่างๆ
ซึ่งประกอบด้วย กองทัพบกที่ 2 (2nd
Army), กองทัพเรือที่ 10 (10th
Fleet), กองทัพอากาศที่ 24 (24th Air Force)
และกองกำลังไซเบอร์กองทัพน้อยนาวิกโยธิน (US Marine Corps Forces Cyberspace Command)
ในส่วนของกองทัพอากาศที่ 24 ประกอบด้วย 3
กองบิน และ 1 ศูนย์ปฏิบัติการ
ซึ่งประกอบด้วย 67th
Network Warfare Wing , 688th Information Operations Wing , 689th
Combat Communications Wing และ 624th Operations
Center นอกจากนี้ กองบัญชาการไซเบอร์ ยังประกอบด้วยส่วนสนับสนุนกำลังรบร่วมต่างๆ สำหรับหน่วยงานทหารซึ่งจะให้การสนับสนุนร่วมกับกองบัญชาการไซเบอร์ ได้แก่
· Army
Cyber Command (Army)
· Fleet
Cyber Command/Tenth Fleet (Navy)
· Air
Forces Cyber/Twenty-Fourth Air Force (Air Force)
· Marine
Corps Cyberspace Command (Marine Corps)
ส่วนทหารที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ( Military
Specialties ) เป็นส่วนที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรงด้านไซเบอร์
โดยทหารเหล่านี้จะได้รับคำสั่งจากส่วนสนับสนุนกำลังรบร่วมของตนตามสายการบังคับบัญชา
ได้แก่
· US
Army - นายทหารสงครามไซเบอร์,
เจ้าหน้าเทคนิคปฏิบัติการไซเบอร์, ผู้เชี่ยวชาญสงครามไซเบอร์
· US
Navy – ด้านเครือข่ายช่างเทคนิคด้านการเข้ารหัส
· US
Air Force – ส่วนปฏิบัติการสงครามพื้นที่ไซเบอร์
· US
Marine Corps – ส่วนปฏิบัติการเครือข่ายไซเบอร์และส่วนงานวิเคราะห์/ปฏิบัติการเครือข่ายดิจิทัลระบบทางรหัส
กองบัญชาการไซเบอร์ มีการจัดตั้งทีมไซเบอร์ (Cyber
teams) ตั้งแต่ปี 2015 เพื่อตอบสนองภารกิจในแต่ละด้าน จำนวนถึง 133 ทีมไซเบอร์ ดังนี้
· ทีมภารกิจระดับชาติ
จำนวน 13
ทีม เพื่อการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ในวงกว้าง
· ทีมป้องกันไซเบอร์
จำนวน 68
ทีม
เพื่อปกป้องเครือข่ายของกระทรวงกลาโหมที่มีความสำคัญและให้ความเร่งด่วนต่อระบบต่อต้านภัยคุกคามต่างๆ
· ทีมภารกิจด้านการรบ
จำนวน 27
ทีม
ดำเนินการโจมตีทางไซเบอร์แบบส่วนร่วมสำหรับสนับสนุนแผนการปฏิบัติต่างๆ
และการปฏิบัติในกรณีฉุกเฉินต่างๆ
· ทีมสนับสนุน
25 ทีม สำหรับการสนับสนุนการวิเคราะห์และการวางแผน
สภากลาโหมได้มีมติเห็นชอบร่างแผนแม่บทไซเบอร์เพื่อการป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2560-2564[ 3 ] รองรับยุทธศาสตร์ไซเบอร์เพื่อการป้องกันประเทศ ครอบคลุม 6แผนงาน คือ แผนงานจัดองค์กรด้านไซเบอร์
, แผนการป้องกันระบบโครงสร้างพื้นฐาน , แผนการพัฒนาความพร้อมในการปฏิบัติการไซเบอร์เชิงรุก
และการปฏิบัติสงครามไซเบอร์ แผนการดำรงและพัฒนา ศักยภาพด้านไซเบอร์ รวมทั้งแผนการสนับสนุนศักยภาพด้านไซเบอร์ระดับชาติ
และแผนการร่วมมือและพัฒนาศักยภาพไซเบอร์ โดยได้มีการจัดตั้ง ศูนย์ไซเบอร์ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและอวกาศกลาโหม ,ศูนย์ไซเบอร์กองบัญชาการกองทัพไทย
และศูนย์ไซเบอร์เหล่าทัพขึ้น และล่าสุดเมื่อวันที่ 21 ก.ย. 60 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ประกาศว่า รัฐบาลตั้งเป้าปี 61 จะสร้างนักรบไซเบอร์ให้ได้ 1,000 คน[ 4 ]
การจัดตั้ง ศูนย์ไซเบอร์ของกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย
และเหล่าทัพ ดังกล่าว เป็นไปในลักษณะต่างฝ่ายต่างทำ ไม่ประสานสอดคล้อง
และไม่มีความเป็นเอกภาพ ซึ่งแตกต่างจากการจัดหน่วยไซเบอร์ของกองทัพสหรัฐฯ
ซึ่งมี กองบัญชาการไซเบอร์ เป็นหน่วยระดับ กองบัญชาการรบร่วม ( Unified
Command ) ทำให้ประสิทธิภาพในการปฏิบัติภารกิจเพื่อรองรับยุทธศาสตร์ไซเบอร์เพื่อการป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหม ทั้ง 6 แผนงาน
ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติงานด้านไซเบอร์ของกระทรวงกลาโหม
ครอบคลุมแผนงานตามร่างแผนแม่บทไซเบอร์เพื่อการป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหม
จึงควรพิจารณาจัดตั้ง ศูนย์บัญชาการไซเบอร์กลาโหม ( Defense Cyber
Command Center : DCCC ) เช่นเดียวกับกองทัพสหรัฐ ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับสถานการณ์และแนวโน้มความรุนแรงของภัยคุกคามด้านไซเบอร์ตามที่ได้กล่าวมาแล้วขั้นต้น
และเป็นไปตามแนวทางการพัฒนากองทัพด้านไซเบอร์ของสหรัฐฯ
ที่มีการประกอบกำลังครอบคลุมทั้ง 3 เหล่าทัพ
เพื่อความเป็นเอกภาพในการปฏิบัติงานร่วมกัน เป็นการบูรณาการและควบคุมการปฏิบัติด้านไซเบอร์ของหน่วยงานในกระทรวงกลาโหม
, สนับสนุนศักยภาพด้านไซเบอร์ระดับชาติ และประสานการร่วมมือและพัฒนาศักยภาพด้านไซเบอร์ในระดับชาติ
ซึ่งจะมีการจัดตั้ง ศูนย์ไซเบอร์อาเซียน ในเร็วๆ นี้
แนวทางการจัดตั้ง ศูนย์บัญชาการไซเบอร์กลาโหม ควรเป็นหน่วยระดับ กองบัญชาการรบร่วม ( Unified
Command ) โดยการแปรสภาพ ศูนย์ไซเบอร์
ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและอวกาศกลาโหม เป็น ศูนย์บัญชาการไซเบอร์กลาโหม
เป็นหน่วยขึ้นตรง สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม มี ผู้บัญชาการไซเบอร์กลาโหม ( Defense Cyber Commander )
( อัตรา พลเอก )
เป็น ผู้บังคับบัญชา มี รองผู้บัญชาการไซเบอร์กลาโหม ( Deputy Defense Cyber Commander ) ( อัตรา พลโท ) จำนวน 4 อัตรา
มาจาก กองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพ โดยปรับเกลี่ยตำแหน่ง/อัตรา
ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ( อัตรา พลเอก ) และตำแหน่ง
อัตราผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพ ( อัตรา พลโท ) เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบด้านกำลังพลและงบประมาณ โครงสร้างการจัดประกอบด้วย กองบัญชาการ , ศูนย์ไซเบอร์กลาโหม ( ศูนย์ไซเบอร์
ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและอวกาศกลาโหม ปรับสายการบังคับบัญชาใหม่ ) และมีศูนย์ไซเบอร์กองบัญชาการกองทัพไทย
และเหล่าทัพ ขึ้นควบคุมทางยุทธการเมื่อเกิดสถานการณ์วิกฤตระดับชาติ โดยมีภารกิจ ตามกรอบร่างแผนแม่บทไซเบอร์เพื่อการป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหม
พ.ศ.2560-2564 และมีสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ
(องค์การมหาชน) ( สทป. ) หรือ DTI. ให้การสนับสนุนในด้านการพัฒนาบุคลากร การศึกษาวิจัย และการประสานความร่วมมือต่างๆ
ด้านไซเบอร์ ทั้งนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม สามารถจัดตั้งศูนย์บัญชาการไซเบอร์กลาโหมเพื่อการทดลองปฏิบัติงาน ไปพลางๆก่อนเช่นเดียวกับกองทัพบก
ในการทดลองปฏิบัติงาน ศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก ที่ผ่านมาก่อนการจัดตั้งหน่วยจริง หรือจะจัดตั้งตามแนวทางการจัดตั้ง ศูนย์การแก้ไขปัญหาความมั่นคงแบบบูรณาการ ( ศมบ.) ก็คงจะมีความเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็วและเป็นประโยชน์ต่อกระทรวงกลาโหมและประเทศชาติสืบไป เรื่องแบบนี้ต้อง คิดเร็วทำเร็ว อย่าปล่อยให้เป็นไปแบบคำสุภาษิตโบราณกล่าวว่า " กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ "
-------------------------------------------------
อ้างอิง :
[1] http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000118760
[2] https://en.wikipedia.org/wiki/United_States_Cyber_Command
[4] https://www.thairath.co.th/content/1076524