เราพร้อมเผชิญสถานการณ์ภัยแฮ็กเกอร์รึยัง?
( Are
you ready for face the hack situation ? )
พลโท ฤทธี อินทราวุธ
ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงกลาโหม
ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และไซเบอร์
ภัยคุกคามด้านไซเบอร์ที่ร้ายแรงในปัจจุบัน นอกเหนือจากการถูกโจมตีด้วยโปรแกรมมัลแวร์
หรือไวรัสเรียกค่าไถ่ ( Ransomware ) เช่น WannaCry[1] และ Petya[2] ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูล ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
และส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆ ไปทั่วโลก จนหลายประเทศต่างให้ความสำคัญในด้านการ
เฝ้าระวัง
และการรับมืออย่างเต็มที่ ทั้งด้านองค์กร ด้านเครื่องมืออุปกรณ์ป้องกัน และด้านการพัฒนาบุคคลากร
แต่ก็มีบางประเทศที่ยังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้น้อยมาก มักจะตื่นตัวตามกระแสสังคม
แต่การเตรียมการรับมือยังคงปล่อยให้เป็นแบบตัวใครตัวมัน ยังขาดการเตรียมการรับมือแบบบูรณาการหรือแบบองค์รวมอย่างมีเอกภาพ
ทั้งการเฝ้าระวังและเตรียมการรับมือในภาคธุรกิจ ภาคการเงิน
ภาคระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ภาคอุตสากรรมการผลิตที่ทันสมัยควบคุมด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
ภาคระบบสาธารณสุขและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย ฯลฯ เป็นต้น
ข่าวการโจมตีของกลุ่มแฮ็คเกอร์ต่างๆ ที่ปรากฎอยู่ในปัจจุบัน
นับว่ามีความสำคัญเช่นกันในด้านภัยคุกคามไซเบอร์ โดยเฉพาะการนำข้อมูลสำคัญต่างๆ ออกมาเปิดเผย
โดยล่าสุดได้มีการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของประชาชนชาวมาเลย์เซียเกือบทั้งประเทศที่ถูกแฮ็คข้อมูลรั่วไหลออกมากว่า
46.2 ล้านรายการ[3]
ในขณะที่ประชากรของมาเลย์เซียมีประชาชน
31.2 ล้านราย และข้อมูล 46.2
ล้านรายการนี้ถูกแฮ็คออกมาจากแหล่งผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมในมาเลย์เซีย
นอกจากข้อมูลส่วนตัวพื้นฐานแล้ว ข้อมูลเหล่านี้ยังครอบคลุมถึงเบอร์โทรศัพท์,
ข้อมูล SIM Card, ข้อมูล Serial Number
ของอุปกรณ์ และที่อยู่ ที่สำคัญยังมีการแฮ็คข้อมูลประวัติทางการแพทย์ของประชาชนมาเลย์เซียอีกกว่า
80,000 รายการจากหน่วยงานทางด้านสาธารณสุข
ในขณะที่เว็บไซต์ของภาครัฐ และเว็บไซต์ที่มีข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้งานจำนวนมากอย่าง jobstreet.com
เองก็ถูกแฮ็คด้วยเช่นกัน
ปรากฏการณ์การโจมตีทางไซเบอร์เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างของภัยคุกคามด้านไซเบอร์
ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และความเชื่อมั่นของนานาประเทศที่จะมาลงทุนด้านธุรกิจและอุตสาหกรรม
รวมถึงความเชื่อมั่นของประชาชนภายในประเทศด้านความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล
ที่เก็บรักษาไว้โดยหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ว่าจะไม่ถุกแฮ็คข้อมูลนำมาเปิดเผยต่สาธารณะ
ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและความเป็นส่วนตัว ถึงแม้ว่าจะมีมาตรการทางกฏหมายไว้ลงโทษผู้กระทำความผิด
แต่ก็ไม่มีใครอยากจะได้รับผลกระทบและเกิดความเสียหาย
กลไกที่จะมาสร้างความพร้อมในการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์
ในภาพรวมแบบบูรณาการดังกล่าวให้ตรอบคลุมทุกด้าน หากจะมาคาดหวังทางภาครัฐบาลแต่เพียงอย่างเดียวคงเป็นไปได้ยาก
เนื่องจากภัยคุกคามด้านไซเบอร์ไร้ขอบเขต ไร้รูปแบบ และไร้กาลเวลา เช่นเดียวกับ การรับมือกับภัยคุกคามทางการทหาร
ภัยธรรมชาติ และภัยด้านความมั่นคงของมนุษย์ ของ องค์การสหประชาชาติ[4]
( United Nations ; UN ) จึงใช้กลไกในรูปแบบ “ หุ้นส่วน ”
โดยระดมประเทศสมาชิกก่อตั้งเป็นองค์กรขึ้น ช่วยกันลงขันมากน้อยตามกำลัง และจัดส่งกองกำลัง
หน่วยงานต่างๆ เข้าไปปฏิบัติภารกิจเพื่อสันติภาพ ภารกิจบรรเทาสาธารณะภัย
ภารกิจคุ้มครองเส้นทางเดินเรือจากโจรสลัด ฯลฯ เป็นต้น
แนวคิดดังกล่าวสามารถนำมาประยุกต์เป็น “ หุ้นส่วนความปลอดภัยทางไซเบอร์ ” ( Cyber security partnerships ) ในระดับประเทศ โดยเริ่มต้นจากองค์กรภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคเอกชน
จากกลุ่มเล็กในแต่ละด้านค่อยๆ ผนึกกำลังกัน เช่นเดียวกับการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ
แรกเริ่มก็มีเพียง 26 ประเทศ
จนขยายตัวเติบโตเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีสมาชิกทั้งหมดในปัจจุบัน 193
ประเทศ เช่นเดียงกับ กรุงโรม หรือ กำแพงเมืองจีน ไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว
ต่างล้วนเริ่มต้นมาจากอิฐก้อนแรกทั้งสิ้น และเป็นก้อนที่อยู่ล่างสุด ต้องทนแบกรับน้ำหนักอิฐก้อนอื่นๆ
ที่ก่อทับตามมาภายหลังจนเกิดผลสำเร็จในภายหลัง โดยไม่มีใครได้มีโอกาสมองเห็นอิฐก้อนแรก
“ เราพร้อมจะเป็นอิฐก้อนแรกรึยัง? ” ถ้าพร้อม !!! “ เราก็จะพร้อมเผชิญสถานการณ์ภัยคุกคามด้านไซเบอร์
”
--------------------------------------------------
อ้างอิง :
[3] https://www.techtalkthai.com/46-2-million-malaysian-records-were-breached-in-large-hacking-campaign/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น