โดย พันเอก ฤทธี อินทราวุธ
รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีทางทหาร
นักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ๒๕๕๕
ตามที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ได้เคยฝากการบ้านเมื่อวันเปิดหลักสูตรการศึกษาฯ
ให้กับนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ๒๕๕๕ เกี่ยวกับปัญหาความมั่นคงของประเทศ
๘ ประเด็น คือ ด้านเศรษฐกิจ , ด้านพลังงาน , ด้านอาหาร , ด้านสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ
, ด้านทรัพยากรมนุษย์ , ด้านการป้องกันประเทศ , ปัญหาความไม่สงบใน ๓
จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการเตรียมความพร้อมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน นั้น
นักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ๒๕๕๕
จึงขออนุญาตนำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาประเด็นที่สำคัญและเร่งด่วน จำนวน ๓ ด้าน ดังนี้
๑. ความมั่นคงด้านเศรษฐกิจ
สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ
( United
Nations Development Program ; UNDP ) ได้ให้ความหมายของ
ความมั่นคงด้านเศรษฐกิจ ( Economic security ) หมายถึง
ประชาชนมีรายได้พอเพียงแก่การยังชีพ และมีหลักประกันการมีงานทำ หรือการประกันสังคม
ดังนั้นปัญหาราคายางพารา ปัญหาการรับจำนำข้าว
ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร ตลอดจนปัญหาค่าแรงขั้นต่ำ
จึงเป็นปัญหาเศรษฐกิจที่สำคัญ
และวนเวียนซ้ำซาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลในปัจจุบัน
ปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวแปรของปัญหาพืชผลทางการเกษตร
และปัญหาแรงงาน คือ คุณภาพและปริมาณ ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต , ราคาขายที่คุ้มค่าและเป็นธรรมต่อผู้บริโภค
แนวทางการแก้ปัญหา รัฐบาลจะต้องมี นโยบายส่งเสริมด้านการบริหารจัดการพืชผลทางการเกษตร เช่น ด้านต้นทุนการผลิต
, ด้านคุณภาพผลผลิต , ด้านการแปรรูปผลผลิต , ด้านปริมาณผลผลิต และด้านกลไกการตลาด
ที่มีความต่อเนื่องและยั่งยืน โดยออกเป็น มาตรการกำหนดและควบคุมพื้นที่เพาะปลูก ( Crops Zoning )
เพื่อควบคุมปริมาณและคุณภาพผลผลิตให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่และความต้องการของตลาด ,
มาตรการเพิ่มคุณภาพผลผลิต ( Quality Value ) ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อประกันราคาผลผลิต, มาตรการเพิ่มผลผลิตนอกฤดูกาล ( Out of Season
Products ) ด้วยเทคโนโลยีการเพาะปลูกนอกฤดูกาลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิต, มาตรการเพิ่มพื้นที่และปริมาณผลผลิตพืชปลอดสารเคมี
( Organic Plants ) ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อรองรับความต้องการตลาดด้านอาหารและผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่นๆ ,
มาตรการด้านการเพิ่มมูลค่าผลผลิต ( Added Value ) ด้วยเทคโนโลยีแปรรูปผลผลิตที่ทันสมัย
เพื่อรองรับความต้องการของตลาด และมาตรการด้านการส่งเสริมการตลาดทั้งระดับท้องถิ่น
ภายในและภายนอกประเทศ ( Marketing
Share ) โดยมอบหมายให้หน่วยงานราชการและองค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้อง
จัดทำแผนบูรณาการบริหารจัดการเชิงคุณภาพและการตลาดที่ยั่งยืน
สำหรับนโยบายส่งเสริมวิชาชีพแรงงาน จะต้องมี
มาตรการส่งเสริมระบบการศึกษาด้านวิชาชีพ สายอาชีวะ ที่ชัดเจน มั่นคง ต่อเนื่อง
และยั่งยืน , มาตรการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานเฉพาะด้าน ให้สอดรับกับตลาดแรงงานปัจจุบันและในอนาคต
และมาตรการส่งเสริมการยกระดับแรงงานไร้ฝีมือสู่แรงงานฝีมือ เพื่อรองรับเทคโนโลยีที่ทันสมัย
โดยมอบหมายให้หน่วยงานราชการและองค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้อง
จัดทำแผนบูรณาการบริหารจัดการแรงงานเชิงคุณภาพและตลาดแรงงานที่ยั่งยืน
๒. ความมั่นคงด้านพลังงาน – Green Economy
ปัญหาด้านพลังงาน เป็นปัญหาสำคัญประเทศซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลในปัจจุบัน
และความมั่นคงของชาติในอนาคต เพราะเป็นปัจจัยของการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ
โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ , ด้านสังคมจิตวิทยา และด้านความมั่นคงทางการทหาร
การอุดหนุน , การเยียวยา และการขึ้นราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
, ก๊าซหุงต้มครัวเรือน , ค่า FT การใช้กระแสไฟฟ้า ฯลฯ เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของรัฐบาล
ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง และเศรษฐกิจของในภาพรวม ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
ปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวแปรของปัญหาด้านพลังงาน
คือ ปริมาณการบริโภคพลังงานซึ่งจะต้องเติบโตไปตามความเจริญของประเทศ , นโยบายส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานทางเลือก
( Alternative
Energy ) ไม่เป็นรูปธรรมชัดเจน , ปัญหาการนำใบอนุญาตการผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อการจำหน่ายไปใช้เพื่อการเก็งกำไรมากกว่าการผลิต
, ประเทศไทยเป็นประเทศนำเข้าพลังงานเชื้อเพลิงเป็นหลัก
และแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าของประเทศมีจำกัด
แนวทางการแก้ปัญหา รัฐบาลจะต้องมีนโยบายเร่งรัดการส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานทางเลือกให้เกิดความเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน
ต่อเนื่อง และยั่งยืน โดยเฉพาะ ไบโอดีเซล ( Biodiesel ) , แก๊สโซฮอล ( Gasohol ) ,
แก๊สชีวมวล ( Biomass Gas ) , แก๊สชีวภาพ ( Bio Gas )
, โซล่าเซลล์ ( Solar cells ) , กังหันลม (
Wind Turbine ) ฯลฯ รวมถึงนโยบายการสร้างแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ที่ต่อเนื่องและยั่งยืน โดยกำหนด
มาตรการเร่งรัดการส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานทางเลือกต่างๆ ให้เกิดความเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน
ครบวงจร และเกิดผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม อาทิเช่น ไบโอดีเซล และ แก๊สโซฮอล
รัฐบาลจะต้องกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน ตั้งแต่
ปริมาณผลผลิตของพืชพลังงานที่เกี่ยวข้อง , ปริมาณการแปรรูปผลผลิตสู่ผลิตภัณฑ์ ,
ปริมาณการใช้ และอุตสาหกรรม , ยานพาหนะ และอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ รวมถึงมาตรการเร่งรัดการส่งเสริมการผลิตไบโอดีเซลในระดับชุมชนขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม
เพื่อรองรับการใช้พลังงานในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมพื้นบ้าน ระดับท้องถิ่น
อาทิเช่น รถอีแต๋น , ปั้มสูบน้ำ , โรงสีข้าว , โรงรีดแผ่นยาง ,โรงงานขนาดเล็ก ,
รถปิกอัพ ฯลฯ
ด้านการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วย ก๊าซชีวมวล , แก๊สชีวภาพ
, พลังงานแสงอาทิตย์ , พลังงานลม ฯลฯ
รัฐบาลจะต้องกำหนดมาตรการส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานให้เกิดความเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน
ตั้งแต่ระดับครัวเรือน ไปจนถึงระดับการผลิตเพื่อการจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
( EGAT ) โดยรัฐบาลอาจจะต้องลงทุนสร้างฟาร์มผลิตพลังงานเอง
หรือโครงการอุดหนุนทุนการผลิต ระดับครัวเรือน , ระดับชุมชน , ระดับผู้ประกอบการ SME
หรือโครงการร่วมทุนขนาดใหญ่ ( Mega Project ) เพื่อทดแทนแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าของประเทศมีจำกัด
สำหรับปัญหาการนำใบอนุญาตการผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อการจำหน่ายไปใช้เพื่อการเก็งกำไรมากกว่าการผลิต
รัฐบาลจะต้องออก มาตรการบังคับหรือยกเลิกใบอนุญาตดังกล่าว
และการออกใบอนุญาตใหม่ให้ครอบคลุมพื้นที่รองรับสายส่งไฟฟ้า ( Grid Line )
เพื่อให้เกิดการผลิตกระแสไฟฟ้าอย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
หรือเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนรายใหม่ๆ มีโอกาสสร้างแหล่งพลังงานเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
ดีกว่าปล่อยให้ผู้ที่ถือครองใบอนุญาตเดิมเพื่อเก็งกำไร ทำให้ประเทศชาติเสียโอกาส
การมอบหมายให้หน่วยงานราชการและองค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้อง
จัดทำแผนบูรณาการบริหารจัดการการผลิตและการใช้พลังงานทางเลือกที่ยั่งยืน
จะต้องมีการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง
๓. ปัญหาความไม่สงบใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
ปัญหาการก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
(จชต.) เป็นปัญหาด้านความมั่นคงของประเทศที่เรื้อรังมานาน
และทุกรัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขปัญหามาโดยตลอดประเด็นสำคัญที่เป็นกลไกของการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
อยู่ที่กำลังอำนาจแห่งชาติด้านต่างๆ ซึ่งนโยบายการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล
และการใช้กลไกกำลังอำนาจแห่งชาติ ด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา และการทหาร
เพื่อเป็นเครื่องมือในการดำเนินการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในที่ผ่านมาของหน่วยงานต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ยังไม่สอดคล้องกับสภาพมูลเหตุ และลำดับความสำคัญของปัญหา
ตลอดจนการใช้กำลังอำนาจแห่งชาติในด้านต่างๆ ยังขาดความสมดุล
ไม่สอดรับกับน้ำหนักความสำคัญของปัญหา
โดยให้น้ำหนักการใช้กำลังอำนาจแห่งชาติในด้านการทหารเป็นหลักเช่นในอดีต
ส่งผลกระทบทางด้านลบทางด้านสังคมจิตวิทยา
สร้างเงื่อนไขและขยายปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ให้ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
รัฐบาลเริ่มมองเห็นว่า แนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร
จึงได้ปรับยุทธศาสตร์ นโยบาย และแนวทางการปฏิบัติ
โดยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความรุนแรงด้วยนโยบายการเมืองนำการทหาร
ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกต้อง แต่การแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งมีปัจจัย และองค์ประกอบของสภาพแวดล้อมทางสังคมที่มีความเป็นอัตลักษณ์
มีความแตกต่างในหลายๆ ด้าน รวมถึงการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน องค์กร
ทั้งภาครัฐ ธุรกิจเอกชน และประชาชน
ยังขาดการบูรณาการและจัดการความรู้จากบทเรียนการปฏิบัติงานที่ผ่านมา
ทำให้เกิดปัญหาวนเวียนซ้ำซาก และไม่มีแนวทางการปฏิบัติงานที่ชัดเจน
การแก้ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงได้ข้อสรุปว่า
จะต้องแก้ด้วยการเมืองนำการทหาร การเมืองการปกครองเป็นหัวใจสำคัญของปัญหาความขัดแย้งทางสังคมและปัญหาเศรษฐกิจ
ซึ่งมาตรการสุดท้ายที่จะนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาคือ การใช้มาตรการทางทหาร
การแก้ปัญหาการปกครองต้องคำนึงถึง ๓ องค์ประกอบ คือ ความสมดุลของกำลังอำนาจแห่งชาติในด้านต่างๆ
ทั้งด้านการเมือง-การปกครอง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมจิตวิทยา และด้านการทหาร ,
การให้ความสำคัญกับปัจจัยวัฒนธรรม และการคำนึงถึงปัญหาอำนาจรัฐในการแก้ปัญหา , การใช้กำลังอำนาจแห่งชาติด้านเศรษฐกิจเพื่อเป็นเครื่องมือส่งเสริมและสนับสนุนการแก้ปัญหา
และการใช้กำลังอำนาจแห่งชาติด้านการทหารจะพยายามใช้เท่าที่จำเป็น
ข้อเสนอแนะเชิงโครงสร้าง
โดยเฉพาะด้านนโยบายที่สำคัญและสอดรับกับการใช้กำลังอำนาจแห่งชาติที่สมดุล ๔ ด้าน ซึ่งประกอบด้วยมาตรการเร่งด่วนที่สำคัญในแต่ละด้าน
และข้อเสนอเชิงกระบวนการ เพื่อกำหนดหน้าที่ ความรับผิดชอบ
และแนวทางการดำเนินการของหน่วยงานต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องในบูรณาการและการใช้กำลังอำนาจแห่งชาติทั้งมวล
เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ในการขจัดปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน
โดยรัฐบาลควรจะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มีดังนี้
๑. นโยบายปกครองและบริหารงานแบบธรรมาภิบาลเพื่อสันติสุขในพื้นที่
จชต.
๑.๑ มาตรการปกครองและการบริหารแบบธรรมาภิบาล
เพื่ออำนวยการแก้ปัญหาโดยมีความชอบธรรม และสันติ
๑.๒ มาตรการติดตามและเร่งรัด ๑๗ กระทรวง และ ๖๖ หน่วยงาน
ให้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น รวมทั้งจัดทำแผนงาน/โครงการบูรณาการให้ตรงกับ ๒๙
เป้าหมาย ยุทธศาสตร์ร่วม
๑.๓ มาตรการลงโทษข้าราชการที่ทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเด็ดขาด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใส
๑.๔ มาตรการเปิดช่องทางพูดคุย
เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาความรุนแรงในพื้นที่
๑.๕
มาตรการสร้างแรงจูงใจในการเข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหา เพื่อหาทางออกไปสู่สันติ
๑.๖
มาตรการบูรณาการกฎหมาย ให้มีความเป็นเอกภาพ
๑.๗ มาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
เท่าเทียม เป็นธรรม และเสมอภาค
๑.๘
มาตรการสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการปกครองให้เป็นที่พึ่งของประชาชน
๑.๙
มาตรการส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างรัฐและประชาชน
๒. นโยบายผสมผสานความเป็นอัตลักษณะกับความเป็นไทยสู่สากล
๒.๑
มาตรการส่งเสริมความเท่าเทียมทางสังคม
๒.๒ มาตรการสร้างสำนึกร่วมในการเป็นคนไทยมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของประเทศ
และได้รับผลประโยชน์เท่าเทียมกัน
๒.๓
มาตรการสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมให้เป็นที่พึ่งของประชาชน
๒.๔
มาตรการคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และมีอิสรเสรีภาพในการการดำรงอยู่ในชีวิตประจำวัน
๒.๕
มาตรการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันภัยทางสังคม
๒.๖ มาตรการพัฒนา
ส่งเสริมการศึกษาในทุกระดับที่สอดคล้องกับความต้องการ วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของพื้นที่
ตลอดจนการก้าวข้ามสู่ความเป็นสากล
๒.๗
มาตรการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับมวลชน สื่อภาครัฐและเอกชน สถาบัน การศึกษา สถาบันทางศาสนา ตลอดจนเวทีสาธารณะ
เพื่อเผยแพร่ความเข้าใจ ตามหลักการเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา
๒.๘
มาตรการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน กลุ่มประเทศมุสลิม
และมิตรประเทศ เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน
๓. นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจอย่างสมดุลและยั่งยืน
๓.๑ มาตรการพัฒนาเสริมสร้างเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชนให้มีความอยู่ดีกินดีตามฐานะ
๓.๒ มาตรการยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชน
เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน
๓.๓
มาตรการสร้างแรงจูงใจในการประกอบอาชีพธุรกิจในพื้นที่
๓.๔
มาตรการเยียวยากระทบในด้านเศรษฐกิจ
ในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่
๔.
นโยบายลดปัญหาความรุนแรงในพื้นที่
๔.๑
มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการข่าว และการปฏิบัติการข่าวสาร (IO)
๔.๒ มาตรการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
๔.๓
มาตรการป้องกันการก่อเหตุร้ายเขตภายใน ๗ เมืองเศรษฐกิจ
๔.๔ มาตรการลดอิทธิพลภายในเขต ๖
เมืองของผู้ก่อเหตุรุนแรง
๔.๕
มาตรการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับตำรวจ และ อส. รวมทั้งภาคประชาชน
เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานเชิงรับแทนเจ้าหน้าที่ทหาร
๔.๖ มาตรการทำลายขบวนการยาเสพติดทุกชนิดและน้ำมัน/สินค้าหนีภาษี
ให้หมดไปจากพื้นที่โดยเร็ว เพื่อลดปัญหาอิทธิพลและผลประโยชน์
๔.๗ มาตรการทำลายขบวนการผู้มีอิทธิพล
และเจ้าหน้าที่ที่ประพฤติมิชอบ เพื่อลดปัญหาแทรกซ้อน
๔.๘ มาตรการควบคุมช่องทางการผ่านเข้า
– ออก ตามแนวชายแดน เพื่อตัดเส้นทางการสนับสนุน
๔.๙
มาตรการกดดันและปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
เพื่อจำกัดเสรีในการปฏิบัติของฝ่ายก่อเหตุความรุนแรง
๔.๑๐
มาตรการเปิดช่องทางเพื่อให้ผู้ก่อเหตุความรุนแรงออกมามอบตัว
------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น