วิถีชีวิตสมัยใหม่ สู่สไตล์ กองทัพอัจฉริยะ
( Smart Life
2 Smart Army )
โดย พันเอก
ฤทธี อินทราวุธ
รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีทางทหาร
ในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารปัจจุบัน
เรามักได้ยินคำว่า “ Smart” ถูกนำมาใช้กับเครื่องมืออุปกรณ์ หรือ
องค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบัตรอัจฉริยะ ( Smart Card ) , โทรศัพท์อัจฉริยะ
( Smart Phones ) , โทรทัศน์อัจฉริยะ
( Smart TV ) , สำนักงานอัจฉริยะ ( Smart Office ) , จังหวัดอัจฉริยะ ( Smart Province ) , ประเทศไทยอัจฉริยะ
( Smart Thailand ) เป็นต้น ซึ่งความหมายของมัน เรามักจะเอามาใช้เสริมเพิ่มเติมคำอื่นๆ เพื่อให้มันดู เท่ห์ ฉลาด อัจฉริยะ อะไรทำนองนั้น โดยเนื้อหาสาระหรือรูปแบบส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทั้งนี้เนื่องมาจากความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาการ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการพัฒนาของโลกในยุคดิจิตอล ( Digital Age ) ซึ่งเป็นวิวัฒนาการของโลก สืบต่อมาจากยุคโลหะ ( Metal Age ) และ ยุคหิน ( Stone Age ) ตามลำดับ
( Smart Thailand ) เป็นต้น ซึ่งความหมายของมัน เรามักจะเอามาใช้เสริมเพิ่มเติมคำอื่นๆ เพื่อให้มันดู เท่ห์ ฉลาด อัจฉริยะ อะไรทำนองนั้น โดยเนื้อหาสาระหรือรูปแบบส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทั้งนี้เนื่องมาจากความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาการ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการพัฒนาของโลกในยุคดิจิตอล ( Digital Age ) ซึ่งเป็นวิวัฒนาการของโลก สืบต่อมาจากยุคโลหะ ( Metal Age ) และ ยุคหิน ( Stone Age ) ตามลำดับ
สมัยยุคหิน ( Stone Age ) นั้น
มนุษย์ก็นำหินมาใช้เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำมาหาเลี้ยงชีพและใช้ป้องกันภัยอันตรายจากสัตว์ร้าย
ครั้นพอมาถึงสมัยยุคโลหะ ( Metal Age ) มนุษย์ก็นำโลหะต่างๆ เช่น
ทองแดง สำริด เหล็ก มาใช้แทนหินในการดำรงชีวิต จนมาถึงปัจจุบันในยุคดิจิตอล ( Digital Age ) มนุษย์ก็นำเอาอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับดิจิตอลต่างๆ
มาใช้ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ตื่นเช้าจนกระทั่งเข้านอน ซึ่งเป็นพื้นฐานปกติวิสัยของคนยุคปัจจุบันในด้านความเป็นอยู่
โดยที่ตนเองไม่ทราบว่า วิถีชีวิตแบบธรรมดาสามัญ ( Common Life ) มันกลายเป็น วิถีชีวิตแบบอัจฉริยะ ( Smart Life ) ไปตั้งแต่เมื่อไหร่
?
เริ่มตั้งแต่ การปลุกตื่นนอนด้วยนาฬิการะบบ Digital แทนนาฬิการะบบไขลานตีกริ่งเสียงดังจนน่ารำคาญ บางบ้านทำอาหารเช้าก็จะมีเครื่องครัวสมัยใหม่ระบบ
Digital เช่น เตาไมโครเวฟ เครื่องชงน้ำ ชา กาแฟ ฯลฯ แทนการหุงต้มด้วยเตาถ่านหรือเตาแก๊ส
พอเอาอาหารวัตถุดิบหรือปรุงสำเร็จรูปมาใส่กดปุ่มตั้งเวลาทิ้งไว้
เอาเวลาที่เหลือไปเก็บเสื้อผ้าใช้แล้วใส่ลงไปในเครื่องซักผ้า-อบผ้าแบบตั้งเวลาอัตโนมัติ
แล้วก็ไปแปรงฟัน อาบน้ำ แต่งตัว ทานอาหารเสร็จเรียบร้อย กด Remote ปิด Air Condition , Smart TV แล้วออกบ้านขับรถ ECO Car ซึ่งควบคุมการทำงานด้วยระบบ
Digital ไปส่งลูกที่โรงเรียน
ตามเส้นทางการจราจรซึ่งมีป้ายแสดงสภาพการจราจรระบบ Digital
ว่าเส้นทางการจราจรคับคั่ง เส้นทางไหนคล่องตัว พอถึงสถานที่ทำงานก็จะสังเกตเห็นป้าย
Smart Parking ระบบ Digital
แสดงจำนวนที่จอดรถที่ว่างในแต่ละชั้น พอเข้าไปทำงานใน Office สมัยใหม่แบบ Smart Office ก็ใช้ e- Card บันทึกเวลาเข้า-ออกทำงาน ใช้ Computer ทำงาน ส่ง e-mail ใช้ Smart Phone ติดต่องาน เล่น Line สนทนากับเพื่อน เล่น Face Book เพื่อ Update
Status ฯลฯ พอเลิกงานขับรถรับลูกจากโรงเรียน
แวะซื้อของด้วยบัตรเครดิต (
Credit Card ) พอกลับถึงบ้าน
กด Remote เปิด Air Condition ดู Smart
TV เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ หรือ เปิด e-Book จาก
Tables มาเล่นสอนหนังสือลูก ทานอาหารเย็น อาบน้ำ เข้านอน
วนเวียนซ้ำซากจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน จะเห็นได้ว่าชีวิตวันๆ
หนึ่งจะอยู่กับอุปกรณ์ Digital ตลอดเวลา จนกลายเป็น วิถีชีวิตแบบอัจฉริยะ
( Smart Life ) ในยุค Digital
คำว่า “ Smart ” นอกจากพจนานุกรมภาษาอังกฤษ ได้แปลความหมายไว้อย่างหลากหลาย
แต่เรามักจะแปลไปในเชิงความหมายว่า ฉลาด , ปราดเปรื่อง , หลักแหลม , เฉียบแหลม , มีไหวพริบ , เก๋ ,
โก้ , รูปหล่อ , เท่ห์ ฯลฯ และมีพันโท ภูมิสิษฐ์ ชินบุตรวงศ์
ได้ให้ทัศนะด้านความหมายในสื่อออนไลน์ตามที่มาของตัวอักษร ดังนี้
S มาจากคำว่า
Specific แปลว่า เฉพาะเจาะจง คือ ให้รู้กันชัดเจน แจ่ม แจ๋วกันไปเลยว่ามันเป็นอะไร
M มาจากคำว่า Measurable คือ วัดผลได้ ก็หมายความว่า
เราสามารถเห็นความก้าวหน้าของสิ่งที่เราจะทำได้ทีละขั้นทีละตอน จนบรรลุเป้าหมายผลสำเร็จ
มันมีจุดที่จะวัดผลกันได้ว่ามีความก้าวหน้านั่นเอง
A มาจากคำว่า Attainable หรือ Achievable ก็หมายถึงว่า
เจ้าสิ่งนั้นหรือเรื่องนั้นสามารถไปเอามาได้หรือในที่สุดแล้ว จะมาอยู่ในมือเราหรือตัวเราได้
ดังนั้นมันจะต้องสามารถทำได้ด้วย
R มาจากคำว่า Realistic แปลว่า เป็นจริง ดูจะคล้ายๆกับ Attainable แต่ต่างกันตรงที่ว่า
สิ่งที่เป็นเป้าหมายนี้มันจะต้องเป็นความจริง
T มาจากคำว่า Time-bound ก็คือ Deadline นั่นเอง
เป็นจุดของวันและเวลาที่เรากำหนดจะให้ได้มันมา เพราะถ้าไม่กำหนดวันให้แล้ว
เราก็จะไม่มีอะไรบังคับว่าจะต้องเร่งรีบ หรือใส่แรงลงไปมากน้อยแค่ไหน
สรุปความหมายง่ายๆ ตามที่มาของคำว่า “ Smart ” คือ การเฉพาะเจาะจงใช้กระบวนการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
เพื่อให้ได้ผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ตามระยะเวลาที่กำหนด
จากพฤติกรรมของคนตามกิจวัตรประจำวันในยุคปัจจุบัน
จะเห็นได้ว่า การปรับตัวจากวิถีชีวิตแบบอัจฉริยะ ( Smart Life )
ไปสู่องค์กรอัจฉริยะ ( Smart Organize ) นั้นไม่ใช่เรื่องไกลตัว
หรือ ยากเย็นแสนเข็นแต่ประการใด โดยเฉพาะแนวความคิดที่จะพัฒนากองทัพไปสู่ กองทัพอัจฉริยะ
( Smart Army )
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันแทบจะเป็นเรื่องปกติสามัญ เพียงใช้กระบวนการบริหารจัดการต่างๆ
ตามความหมายง่ายๆ จากที่มาของคำว่า “ Smart ” ซึ่งการที่จะพัฒนากองทัพไปสู่
กองทัพอัจฉริยะ ( Smart Army )
ให้บรรลุเป้าหมายเกิดความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมตามระยะเวลาที่กำหนดนั้น
จะต้องเจาะจงใช้กระบวนการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ดังนี้
๑. ขั้นการบูรณาการสารพัดบัตรต่างๆ เช่น บัตรประจำตัวข้าราชการ
, บัตรประจำตัวหน่วยงาน , บัตรผ่านเข้า-ออกสถานที่ , บัตรตรวจโรค , บัตรเบิกจ่ายตรงโรงพยาบาล
, บัตรสารพัดสมาชิกต่างๆ ของกองทัพ รวมถึงสติกเกอร์ติดรถ จะต้องมีการพัฒนาให้เป็นบัตรอเนกประสงค์
(
Multi – Proposes ID Card ) คือ มีข้อมูลและรูปภาพเพื่อใช้แสดงตน ,
มีสัญญาณคลื่นความถี่วิทยุ ( Radio
Frequency ID ; RF ID ) เพื่อใช้บันทึกในการผ่านเข้า-ออกสถานที่ แบบอัตโนมัติ , มี Micro Ship , Bar Code หรือ มีแถบข้อมูลแม่เหล็ก สำหรับเก็บรหัส ข้อมูลส่วนบุคคล
เพื่อการใช้งานโปรแกรมการทำงานต่างๆ
, มีรหัสสี่เหลี่ยม
ที่ เรียกว่า QR Code ซึ่งย่อมาจากรหัส
Quick Response เพื่อใช้ในการแสดงข้อมูลและการเข้าใช้งานผ่านอุปกรณ์มือถือระบบ
Smart Phones หรือ Tables รวมถึงการบูรณาการบัตรประจำตัวข้าราชการกับบัตรเครดิต-เดบิตธนาคาร
( Credit & Debit Card ) เป็นต้น ก็จะทำให้บัตรประจำตัวข้าราชการดังกล่าวเพียงบัตรเดียว
สามารถใช้งานต่างๆ ที่สำนักงานในกองทัพได้ตลอดทั้งวัน
๒. ขั้นการพัฒนาความพร้อมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
เพื่อรองรับการให้การใช้งานและการบริการของหน่วยงานต่างๆ ของกองทัพ ซึ่งจะต้องกำหนดกระบวนการพัฒนาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนทั้งอุปกรณ์
(
Hardware ) , โปรแกรมระบบงาน ( Application ) และระบบเครือข่าย
( Network ) โดยเริ่มจาก ระบบงานบริการกำลังพล ,
ระบบงานสวัสดิการ , ระบบงานการเงิน , ระบบการทดสอบร่างกาย ,
ระบบงานการพิจารณาบำเหน็จ ฯลฯ ก่อนที่จะขยายผลไปยังระบบงานอื่นๆ
ให้ครอบคลุมทุกสายงานฝ่ายอำนวยการ ตลอดจนการส่งเสริม สงเคราะห์
และสนับสนุนให้กำลังพลทุกระดับสามารถเข้าถึงการบริการสารสนเทศ
รวมถึงการมีอุปกรณ์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเท่าที่จำเป็นสำหรับตนเอง
เช่น Tables หรือ Smart Phones และค่าใช้จ่ายการบริการเครือข่าย
3G , WiFi ในราคาสวัสดิการ หรือราคาพิเศษ เพื่อการเข้าถึงการบริการสารสนเทศและการใช้งานต่างๆ
ของกองทัพ
๓. ขั้นการใช้งาน โดยการกำหนดมาตรการ ข้อบังคับ
ระเบียบปฏิบัติ ทั้งด้านการใช้งาน และการรักษาความปลอดภัย อย่างชัดเจน
โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและกำลังพลทุกนายจะต้องปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนด
เพื่อให้การพัฒนากองทัพไปสู่ กองทัพอัจฉริยะ ( Smart Army )
บรรลุเป้าหมายเกิดความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมตามระยะเวลาที่กำหนด
๔. ขั้นการติดตามและประเมินผลการใช้งาน โดยการสำรวจความคิดเห็นต่างๆ
จากผู้ใช้งานโดยตรง ผ่านระบบสารสนเทศของแต่ละระบบงาน เพื่อติดตามและประเมินผล ทั้งจำนวนและที่ตั้งอุปกรณ์
(
Hardware ) , โปรแกรมระบบงาน ( Application )
, ระบบเครือข่าย ( Network ) และความพึงพอใจของผู้ใช้งาน เพื่อการพัฒนา
ปรับปรุงแก้ไขให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
๕. ขั้นการขยายผลการใช้งาน
เป็นการพัฒนาต่อยอดเพื่อให้การพัฒนากองทัพไปสู่ กองทัพอัจฉริยะ ( Smart Army
) อย่างเต็มรูปแบบ จากส่วนกลางกระจายการพัฒนาไปยังระดับภูมิภาค คือ
กองทัพภาคหรือค่ายทหารอัจฉริยะ ( Smart Camp ) กองพลอัจฉริยะ ( Smart Division ) และลงไปจนถึงระดับท้องถิ่น คือ
กองพันอัจฉริยะ ( Smart Battalion )
การพัฒนากองทัพไปสู่ กองทัพอัจฉริยะ ( Smart Army
) จะเริ่มตั้งแต่ การขับรถผ่านเข้า-ออกประตูไม้กั้น ด้วยระบบ RF
ID แบบ Easy Pass บนทางด่วน Troll way พอเดินเข้าสำนักงาน ประตูก็จะเปิดแบบอัตโนมัติ พร้อมบันทึกเวลา เข้า-ออก
พอถึงเวลาทำงาน ก็ใช้บัตรซึ่งมี Micro Ship หรือ
แถบข้อมูลแม่เหล็ก เสียบเข้าอ่านที่เครื่องคอมพิวเตอร์
เพื่อใช้งานโปรแกรมการทำงานต่างๆ
พอพักเที่ยงลงมาทานอาหารกลางวัน ก็ใช้บัตรซึ่งมี Micro Ship เครดิต-เดบิตธนาคาร จ่ายค่าอาหาร ใน Food Cord หรือจะใช้ซื้อข้าวของ เครื่องใช้ต่างๆ ใน PX
ใช้บัตรกดเบิก ถอน ฝาก
โอนเงินจากตู้ ATM พอวันไหนเจ็บไข้ได้ป่วย
ก็ใช้บัตรนี้เข้ารับการบริการทางการแพทย์ที่ห้องตรวจโรคหรือโรงพยาบาล แทนบัตรตรวจโรคหรือบัตรเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาล
หากต้องการอยากดูข้อมูลประวัติตนเอง
ก็เอาบัตรไปทาบกับเครื่องอ่านข้อมูลจากระบบงานกำลังพล ก็จะเห็นข้อมูลประวัติรับราชการ
การศึกษา เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ราชการพิเศษ วันทวีคูณ ฯลฯ เพื่อจะได้วางแผนชีวิตว่าจะอยู่รับราชการต่อ
หรือขอเกษียณอายุก่อนกำหนด เพื่อเอายศ เอาเงินตอบแทน อยากจะดูข้อมูลเงินกู้ หนี้สิน
หรือเงินออมต่างๆ ของตนทั้งของหน่วยงานและสหกรณ์ออมทรัพย์ ก็เอาบัตรไปแปะที่เครื่องระบบงานสวัสดิการ
แบบที่เช็คราคาสินค้าห้างโลตัส ก็จะทราบข้อมูลทันทีว่า หนี้สินเหลือเท่าไร?
ใกล้จะหมดงวดรึยัง ? เงินที่เก็บหอมรอมรีบสะสมไว้
ตอนนี้เพิ่มพูนมากน้อยเพียงใด? ถ้าต้องการรู้เงินเดือนล่วงหน้าว่าพอจะเหลือเท่าไหร่?
ตอนเงินเดือนออกสิ้นเดือน ก็เอาบัตรไปแปะที่เครื่องระบบงานการเงิน
ก็จะทราบข้อมูลสลิปเงินเดือนล่วงหน้าคร่าวๆ
พอจะเอาไปวางแผนการเงินในครอบครัวได้บ้างว่าพอจะพาครอบครัวไปทานอาหารมื้อพิเศษ หรือไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุดได้ไหม?
หรือไม่พอจ่ายค่าเทอมลูก ก็จะต้องเตรียมการวางแผนหาเงินล่วงหน้า เมื่อมีการทดสอบสมรรถภาพร่างกายประจำปี
ก็ให้กำลังพลผู้เข้าทดสอบนำบัตรติดตัววิ่งผ่านเครื่องรับสัญญาณ RF ID ก็จะได้ข้อมูลที่ถูกต้องเที่ยวตรง รวมถึงการเอาข้อมูลบันทึกเวลา เข้า-ออก
การทำงาน มาใช้ในการพิจารณาบำเหน็จ ความดีความชอบตอบแทนการทำงาน การพิจารณาเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น
หรือการให้เงินรางวัลโบนัสพิเศษต่างๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม
นอกจากนี้ ระบบข้อมูลสารสนเทศของหน่วยงานต่างๆ
กำลังพลยังสามารถเข้าถึงได้โดยผ่านอุปกรณ์ Tables หรือ Smart
Phones ส่วนบุคคล ที่เชื่อมผ่านระบบ WiFi ซึ่งติดตั้งกระจายตามจุดต่างๆ
อย่างทั่วถึง เพื่อให้การบริการด้านสารสนเทศ โดยการใช้ QR Code ที่ติดกับบัตรประจำตัวในการแสดงตน ( Authentic ) สำหรับการเข้าถึงระบบงานต่างๆ
และข้อมูลระบบสารสนเทศของหน่วยงาน รวมถึงการรับข้อมูลข่าวสารและการประชาสัมพันธ์ต่างๆ
ผ่านระบบมือถือ เช่นเดียวกับเวลาที่เราไปในสถานที่ต่างๆ
มักจะปรากฏข้อมูลข่าวสารและการประชาสัมพันธ์โผล่มาในโทรศัพท์มือถือเป็นประจำเมื่อเวลาเปิดสัญญาณ
3G หรือ WiFi ทิ้งไว้
ส่วนระบบ RF ID ที่ติดอยู่ที่บัตร
นอกจากจะนำมาใช้งานต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานในด้านการรักษาความปลอดภัย
( Security ) โดยติดตั้งจุดรับสัญญาณ RF ID ในเขตพื้นที่หวงห้าม เมื่อมีกำลังพลเดินผ่านก็จะมีสัญญาณแจ้งเตือน
เช่นเดียวกับห้างร้านในศูนย์การค้า หรือการเชื่อมกับระบบกล้อง CCTV เพื่อให้บันทึกข้อมูลเหตุการณ์เฉพาะที่มีการเคลื่อนไหว เพื่อประหยัดเนื้อที่
Hard Disk นอกจากนี้ยังสามารถนำสัญญาณ RF ID มาประยุกต์เชื่อมกับระบบไฟฟ้าในห้องน้ำ หรือห้องทำงานต่างๆ
ในการควบคุมการเปิด-ปิดหลอดไฟฟ้า จะช่วยในการประหยัดพลังงาน ( Safe Energy
) ของหน่วยงานอีกทางหนึ่ง
ตัวอย่างการใช้งานและข้อมูลสารสนเทศที่ยกตัวอย่างมานี้
เป็นเพียงงานด้านการบริการกำลังพลเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งข้อมูลบางส่วนของกำลังพลที่ถูกบันทึกไว้ในระบบสารสนเทศ จากการผ่านเข้ามา –
ออกไป หรือการใช้งานต่างๆ สามารถนำมาบริหารจัดการข้อมูลและการกำหนดสิทธิ เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาระดับต่างๆ
สามารถเข้าดูหรือตรวจสอบเป็นรายบุคคลว่า ใคร? อยู่ที่ไหน? เมื่อไหร่? และกำลังทำอะไร? ,
การตรวจสอบสถานภาพกำลังพลประจำวันเป็นรายหน่วย ,
การตรวจสอบผลการทดสอบสมรรถภาพร่างกายของกำลังพล ,
การตรวจสอบสถานภาพหนี้สินกำลังพลของหน่วย , การตรวจสอบประวัติรับราชการ ,
การตรวจสอบคุณวุฒิหรือความเชี่ยวชาญพิเศษ ฯลฯ ผ่านอุปกรณ์มือถือ เช่น Tables
หรือ Smart Phones จากที่ใดก็ได้
ดังนั้น แนวความคิดที่จะพัฒนากองทัพไปสู่
กองทัพอัจฉริยะ ( Smart Army ) จึงไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝันแต่ประการใด
หากคิดจะเริ่มพัฒนา ก็ควรจะเร่งพัฒนาตั้งแต่ตอนนี้ โดยกำหนดเป้าหมาย ดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน แบบค่อยเป็นค่อยไป สิ่งใดที่มีอยู่แล้วในกองทัพพอจะทำได้ ก็กำหนดความเร่งด่วนในการดำเนินการเป็นลำดับแรก สิ่งใดที่มีอยู่ แต่ต้องใช้การพัฒนาปรับปรุงต่อยอดเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถนำมาประยุกต์ใช้งานได้ ก็เร่งดำเนินการ สิ่งใดที่ยังไม่มีหรือยังไม่ได้เริ่มทำ ก็กำหนดแผนงานดำเนินการต่อไป เพียงเท่านี้ก็จะสามารถจะ พัฒนากองทัพไปสู่ กองทัพอัจฉริยะ ( Smart Army ) ได้โดยไม่ยาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น