ศูนย์ไซเบอร์อาเซียน
( ASEAN Cybersecurity Center )
โดย พลตรี ฤทธี อินทราวุธ
ผู้อำนวยการศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก
ปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศ
ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงกลาโหม ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนด้านความ
มั่นคงทางไซเบอร์
( ASEAN Workshop on Strengthening and Enhancing Cybersecurity
Cooperation in the ASEAN Region : Towards an Integrated Approach in Addressing
Transnational Crime ) ในระหว่างการจัดงานสัปดาห์ความมั่นคงทางไซเบอร์ประเทศไทย
ปี ๒๕๖๐ ที่ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์
ที่ประชุมตระหนักถึง
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
และภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น และได้กลายเป็นปัญหาสำคัญระดับโลก ดังนั้นประเทศสมาชิกอาเซียนจึงจำเป็นต้องเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกัน
ตลอดจนเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนกับประเทศภายนอกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
องค์กรระดับภูมิภาค และองค์การระหว่างประเทศ
เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเสริมสร้างขีดความสามารถด้านความมั่นคงและความปลอดภัยทางไซเบอร์
และการต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ นอกจากนี้รัฐต้องเสริมสร้างมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างผู้มีส่วนได้เสีย
ระหว่างภาครัฐ ภาครัฐกับภาคเอกชน องค์กรระดับภูมิภาค และองค์การระหว่างประเทศ และสื่อมวลชน
เพื่อให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน
อันจะนำไปสู่การหารือและการสื่อสารกันอย่างสม่ำเสมอ มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล
การจัดตั้งจุดประสานงาน
ตลอดจนความร่วมมือเพื่อป้องกันและรับมือจากการโจมตีทางไซเบอร์
และการสร้างความตระหนักรู้ให้แก่บุคคลทั่วไปเกี่ยวกับภัยคุกคามและอาชญากรรมทางไซเบอร์
ลดช่องว่างด้านขีดความสามารถในการต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ และช่องว่างของกฎหมายและฐานความผิดทางไซเบอร์ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน
ที่ประชุมเห็นพ้องต่อข้อเสนอให้พิจารณากลไกระดับภูมิภาคเพื่อบูรณาการความร่วมมือด้านไซเบอร์
โดยพิจารณาจัดตั้งศูนย์ไซเบอร์อาเซียน ( ASEAN Cybersecurity Center ) หรือ
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านความมั่นคงและปลอดภัยทางไซเบอร์ของอาเซียน ( ASEAN Cybersecurity Centre Excellence ) หรือหน่วยงานอิสระ
โดยกลไกนี้ควรประกอบด้วย ผู้แทนจากภาครัฐ องค์การระหว่างประเทศ ภาคเอกชน
และภาควิชาการ เพื่อเป็นเวทีสำหรับการหารือทั้งเชิงนโยบาย หรือเชิงเทคนิค
การเสริมสร้างความตระหนักรู้ให้แก่บุคคลทั่วไป ภาคอุตสาหกรรม และภาครัฐ
การวิเคราะห์ข้อมูลและพัฒนางานวิจัยในประเด็นความปลอดภัยด้านไซเบอร์
ประสานงานด้านข้อมูลและข่าวกรอง ดำเนินงานเชิงปฏิบัติการ
เสนอแนะแนวทางในการป้องกันอาชญากรรมทางไซเบอร์ในระดับชาติ และจัดการฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ในการต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์
จากผลการประชุมดังกล่าว
แสดงถึงแนวโน้มของความร่วมมือเพื่อป้องกันและรับมือจากการโจมตีทางไซเบอร์ในระดับภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคตอันใกล้นี้
และเชื่อว่าประเทศสมาชิกอาเซียนต่างเห็นความสำคัญ และมีความพร้อมในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกัน ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะได้รับการจัดลำดับอยู่ในอันดับที่
20 ของโลก
และอันดับ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ (1) และมาเลเซีย (3) สำหรับอันดับโลกของกลุ่มประเทศอาเซียนที่เหลืออีก 7 ประเทศ ประกอบด้วย ฟิลิปปินส์
(37) , บรูไน (53) , อินโดนีเซีย (70) , ลาว (77) , กัมพูชา (92) , พม่า (100) และ เวียดนาม(101)
ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทางสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ( International Telecommunication Union : ITU ) ซึ่งเป็นหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ ( UN ) ดำเนินการสำรวจประเทศทั่วโลก
193 ประเทศ นำมาจัดทำเป็นรายงานในหัวข้อ “ Global Cybersecurity Index 2017 ” เผยแพร่เมื่อวันพุธที่ 5
กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยองค์การสหประชาชาติ ( UN ) ระบุว่ามีประเทศราวครึ่งหนึ่งของโลกที่เสี่ยงตกเป็นเหยื่อ “อาชญากรออนไลน์” เนื่องจากไม่มีแผนรักษาความปลอดภัยโลกไซเบอร์ที่ดีพอ
ปัญหาความพร้อมของประเทศไทย
ไม่ได้อยู่ที่การจัดลำดับ หรือขีดความสามารถขององค์กรและตัวบุคคลากร แต่เป็นปัญหาภายในประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างผู้มีส่วนได้เสีย , ช่องว่างของกฎหมายและฐานความผิดทางไซเบอร์
และการบริหารจัดการองค์กรและทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งมักจะยึดโยงอยู่กับวัฒนธรรมองค์กรแบบตั้งเดิมในระบบอุปถัมภ์
พรรคพวก เพื่อนพ้อง น้องพี่ และเชื่อมโยงกับศูนย์อำนาจทางการเมือง
ไม่มีความเป็นอิสระและเอกภาพเท่าที่ควร รวมถึงความพร้อมในการจัดตั้งองค์กรภายในประเทศ
ที่เรียกว่า ศูนย์ไซเบอร์แห่งชาติ ( National Cybersecurity Center ) ที่จะมารองรับการทำงานของศูนย์ไซเบอร์อาเซียนซึ่งยังไม่มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรม
ว่าจะเป็นองค์กรอิสระหรือองค์กรในระบบราชการ
ซึ่งควรจะมุ่งเน้นการพัฒนาเสริมสร้างด้านความมั่นคงและความปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศแบบองค์รวมทั้งเชิงรุกและเชิงรับตามกรอบมาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของ National Institute of Standard and Technology ( NIST ) เพื่อเสริมสร้างหลักประกันความมั่นคงปลอดภัยและความไว้เนื้อเชื่อใจทุกภาคส่วน
รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านปลอดภัยทางไซเบอร์
การพัฒนาบุคลากร และการเสริมสร้างความตระหนักรู้ให้แก่บุคคลทั่วไป
เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นการเตรียมความพร้อมด้านไซเบอร์ของประเทศเพื่อรองรับการจัดตั้งศูนย์ไซเบอร์อาเซียนในอนาคต
---------------------------------------------
อ้างอิง :
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น