วันเสาร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2560

ไซเบอร์ : หนึ่งในพลังอำนาจทางทหารที่กองทัพทั่วโลกจับตามอง แต่ไทยมึน ?

ไซเบอร์ : หนึ่งในพลังอำนาจทางทหารที่กองทัพทั่วโลกจับตามอง แต่ไทยมึน ?
( Cyber : One of the Military power )
พลตรี ฤทธี  อินทราวุธ
ผู้อำนวยการศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก
การทหาร ถือเป็นหนึ่งในกำลังอำนาจแห่งชาติ หรือ พลังอำนาจของชาติ[1]  ( National Power ) นอกเหนือจาก การเมือง , เศรษฐกิจ และสังคมจิตวิทยา ถือเป็นหลักประกันด้านความมั่นคงของชาติ ( National Security ) ที่
สำคัญที่สุด ประเทศใดที่กำลังอำนาจทางการทหารมีความอ่อนแอ ไม่มั่นคงแข็งแรงเพียงพอ ก็มักจะถูกแทรกแซง หรือถูกรุกรานจากประเทศอื่นๆ ที่มีศักยภาพทางทหารที่เหนือกว่า ดังนั้นในหลายประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก จึงให้ความสำคัญด้านการพัฒนาเสริมสร้างกำลังอำนาจทางการทหาร เพื่อใช้ในการปกป้องคุ้มครองเอกราช อธิปไตย และผลประโยชน์ของชาติ  หรือใช้เป็นอำนาจในการต่อรอง
การพัฒนาเสริมสร้างกำลังอำนาจทางการทหารของแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกัน ขึ้นกับสภาพแวดล้อมของภัยคุกคาม การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมจิตวิทยา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ การพัฒนาเสริมสร้างกำลังอำนาจทางการทหารของประเทศมหาอำนาจส่วนใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน อังกฤษ ฯลฯ มักจะให้ความสำคัญและใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมหาศาลกับ “ อาวุธยุทโธปกรณ์ ” เพื่อใช้ในการสู้รบ ปกป้องเอกราช และอธิปไตยของตัวเอง รวมทั้งการใช้เป็นเครื่องมือทางการทหาร เพื่อสร้างความได้เปรียบให้แก่ตัวเองในเชิงยุทธศาสตร์ต่างๆ ในหลายพื้นที่และหลายสมรภูมิทั่วโลก[2] จากข้อมูลผลการสำรวจอันดับกองกำลังทางทหารที่มีพลังมากที่สุดในโลก 35 อันดับ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆราว 50 กว่าปัจจัย อาทิ งบประมาณด้านการทหาร กำลังพล และจำนวนยุทธภัณฑ์ในแต่ละประเทศ  โดยสหรัฐอเมริกาอยู่ในอันดับหนึ่งของโลก มีงบประมาณด้านการทหารที่สูงที่สุดในโลก คือราว 612,500,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ , รัสเซียตามมาเป็นอันดับสอง , จีนอยู่ในอันดับสามของโลก โดยมีงบประมาณด้านการทหารอยู่ที่ 126,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ  สำหรับประเทศไทย ติดอันดับที่ 24 มีงบประมาณด้านการทหาร 5,390,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ[3] ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การพัฒนาเสริมสร้างกำลังอำนาจทางการทหารของทุกประเทศทั่วโลกต่างให้ความสำคัญในลำดับต้นๆ แต่อย่างไรก็ตามสำหรับประเทศไทย ก็ถือว่าการจัดลำดับกองกำลังทางทหารที่มีพลังมากที่สุดในโลกนี้อยู่ในลำดับกลางๆ ค่อนข้างล่างจาก 35 ประเทศ ทั้งนี้เนื่องมาจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ประกอบกับปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ รวมถึงความต้องการงบประมาณเพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆ
การพัฒนาเสริมสร้างกำลังอำนาจทางการทหารของประเทศต่างๆ ทั่วโลกส่วนใหญ่จะไปในทิศทางเดียวกัน นอกเหนือจากกำลังรบและอาวุธยุทโธปกรณ์แล้ว สิ่งที่มีความสำคัญและจำเป็นในการพัฒนาเสริมสร้างกองทัพให้มีประสิทธิภาพและมีศักยภาพทางการทหารในยุคปัจจุบันและอนาคต โดยใช้งบประมาณไม่มากนัก แต่สามารถเสริมสร้างขีดความสามารถและศักยภาพทางการทหารให้มีความเหนือกว่าและเป็นที่เกรงขาม คงหนีไม่พ้นการเสริมสร้างและพัฒนากองทัพในด้านไซเบอร์ ที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติการทางทหาร ให้เกิดความได้เปรียบ และลดการสูญเสียด้านกำลังรบและอาวุธยุทโธปกรณ์
ไซเบอร์ ( Cyber ) กองทัพชั้นนำในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ได้ให้ความสำคัญกับ การปฏิบัติการทางไซเบอร์ ( Cyber Operations ) มานานหลายสิบปีแล้ว โดยปัจจุบันได้มีการจัดตั้ง กองบัญชาการไซเบอร์[4] ( Cyber Command ) หรือ กองทัพไซเบอร์ ขึ้นมา โดยมีนายทหารยศ “ พลเอก ” เป็น ผู้บัญชาการ เพื่อรองรับการปฏิบัติการทางทหารในโลกไซเบอร์ หรือพื้นที่ปฏิบัติการทางไซเบอร์ ( Cyber Domain )  รวมถึงการทำสงครามไซเบอร์ ( Cyber Warfare ) ซึ่งหลายประเทศต่างได้ดำเนินการจัดตั้งหน่วยงานด้านไซเบอร์ รวมถึงการพัฒนาเสริมสร้างกำลังรบส่วนหนึ่งที่เรียกว่า นักรบไซเบอร์ ( Cyber Warrior ) ทั้งแบบเปิดเผยและไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ อาทิเช่น กองทัพสหรัฐอเมริกา จีน เกาหลี ฯลฯ ตามที่เป็นข่าวปรากฏเกี่ยวกับการโจมตีหรือเจาะระบบของพวกแฮ็กเกอร์ ( Hacker ) และการแพร่ระบาดของไวรัสคอมพิวเตอร์ ( Virus Computer  )  หรือโปรแกรมไม่พึงประสงค์ ( Malware ) ต่างๆ ซึ่งส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลก สำหรับกองทัพของไทยได้มีการจัดตั้งหน่วยงานไซเบอร์ขึ้นมาเช่นกัน โดยเน้นไปในด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ( Cyber Security ) ให้กับระบบสารสนเทศขององค์กรเป็นหลัก ซึ่งจะมีความแตกต่างกับการพัฒนาเสริมสร้างกำลังกองทัพด้านไซเบอร์ของประเทศอื่นๆ ที่นอกเหนือจากภารกิจด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แล้ว  ต่างมุ่งเป้าไปสู่การพัฒนากำลังรบแบบ หน่วยรบไซเบอร์ ( Cyber Forces )  เพื่อการปฏิบัติการไซเบอร์เชิงรุก และการทำสงครามไซเบอร์เป็นการเฉพาะ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถ ศักยภาพ อำนาจกำลังรบ และความได้เปรียบทางการทหารในพื้นที่ปฏิบัติการทางไซเบอร์ หรือ ไซเบอร์โดเมน ( Cyber Domain ) ในการสนับสนุนการปฏิบัติการทางทหารในมิติการรบอื่นๆ เช่น พื้นที่ปฏิบัติการทางภาคพื้นดิน ( Land Domain )  , พื้นที่ปฏิบัติการทางภาคพื้นน้ำ ( Sea Domain )  และพื้นที่ปฏิบัติการทางอากาศ ( Air Domain )
หากเรายังคงจัดตั้งหน่วยงานไซเบอร์ของกองทัพขึ้นมา เพื่อการดูแลงานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นหลัก โดยไม่ให้ความสำคัญเร่งด่วนในด้านการพัฒนาเสริมสร้างกำลังพลและหน่วยงานไซเบอร์เพื่อไปสู่การปฏิบัติการไซเบอร์เชิงรุกเช่นเดียวประเทศต่างๆ ทั่วโลกซึ่งใช้งบประมาณจำนวนไม่มากนัก จะทำให้การพัฒนาเสริมสร้างกำลังกองทัพด้านไซเบอร์ล้าหลัง อาจจะเป็นการพัฒนากองทัพที่ผิดทิศทาง ไม่ทันต่อสถานการณ์และภัยคุกคามในอนาคต
การเสริมสร้างและพัฒนากองทัพในด้านไซเบอร์ จึงมีความสำคัญควบคู่ไปกับการพัฒนาเสริมสร้างกำลังรบและอาวุธยุทโธปกรณ์ซึ่งต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล แต่การการเสริมสร้างและพัฒนากองทัพในด้านไซเบอร์เป็นการลงทุนระยะยาว มีความต่อเนื่อง ที่ใช้งบประมาณไม่สูงมากนัก แต่สามารถเพิ่มศักยภาพทางทหารได้ไม่น้อย ดังนั้น กองทัพจึงควรหันมาให้ความสำคัญและปรับแนวคิดในการพัฒนาเสริมสร้างหน่วยงานดังกล่าว อย่ารอให้เกิดสงครามไซเบอร์ขึ้นมาก่อนแล้วค่อยคิดได้ “ ไซเบอร์ ” ก็คงไม่ต่างจาก “ เกลือ ” ดังสุภาษิตโบราณว่า “แกงจืดจึงรู้คุณเกลือ”
-----------------------------------------
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
[1] https://hengwelcome5000.files.wordpress.com/2014/07/283-e0b89ee0b8a5e0b8b1e0b887e0b8ade0b8b2e0b899e0b8b2e0b888e0b981e0b8abe0b988e0b887e0b88ae0b8b2e0b895e0b8b4-national-power-5.pdf
[2] http://m.matichon.co.th/readnews.php?newsid=1445838104
[3] https://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1405075034

[4] https://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1360126342

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น