“หน่วยรบไซเบอร์” อำนาจกำลังรบไร้ตัวตน
สัมภาษณ์ โดย วรรณโชค ไชยสะอาด (โพสต์ทูเดย์)
เมื่ออำนาจในโลกไซเบอร์กำลังทรงพลัง...
ปี 2558 ผลสำรวจของ " แคสเปอร์สกี้
แลป " ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสระดับโลก โดย นายยูริ
นาเมสนิคอฟ นักวิจัยอาวุโสด้านความปลอดภัย จากทีมวิเคราะห์และวิจัยระดับโกลเบิล แคสเปอร์สกี้
แลป เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยงถูกโจมตีทางไซเบอร์เป็นอันดับ 33 จาก 250 ประเทศทั่วโลก เนื่องจากยังมีผู้นิยมใช้ซอฟต์แวร์เถื่อน และไม่นิยมอัพเดตซอฟต์แวร์
รวมทั้งยังไร้มาตรการดูแลเรื่องความมั่นคงและปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ที่ชัดเจน
และรัดกุม ข้อเท็จจริงดังกล่าว
ทำให้กองทัพไทยให้ความสำคัญ และเร่งพัฒนาหน่วยงาน ที่เรียกว่า “ศูนย์ไซเบอร์” ขึ้นมา
ทำไมต้องให้ความสำคัญกับ “ไซเบอร์”
หนทางนำพาประเทศไปสู่ความเจริญ มั่งคั่ง และมีเสถียรภาพ
จำเป็นต้องมี พลังทางอำนาจ ใน 5 ด้าน ได้แก่ พลังทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม
การทหาร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งน้ำหนักที่รัฐบาลใส่ลงไปในแต่ละด้าน
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และทิศทางการบริหารของแต่ละประเทศ หากว่ากันเฉพาะ “ พลังอำนาจทางทหาร ”
กองทัพไทยเริ่มให้ความสำคัญกับ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มากขึ้น
โดยเฉพาะประเด็น ภัยคุกคามด้านไซเบอร์
พล.ต.ฤทธี อินทราวุธ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีทางทหาร
บอกว่า พลังอำนาจทางทหาร มีพื้นที่ปฏิบัติการหลักๆ อยู่ 5 ด้าน ได้แก่ พื้นที่ปฏิบัติการบนดิน ( Land Domain )
, พื้นที่ปฏิบัติการในน้ำ ( Sea Domain ) , พื้นที่ปฏิบัติ
การในอากาศ ( Air Domain ) และพื้นที่ปฏิบัติการบนห้วงอวกาศ
( Space Domain ) ทั้งหมดถูกควบคุม โดย“ไซเบอร์ โดเมน” ( Cyber Domain ) ซึ่งนับเป็นโดเมนที่สำคัญมาก
“ ต่อให้คุณมีกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยเต็มไปหมด
แต่ไม่สามารถควบคุมสั่งการได้ก็เท่านั้น ไม่เห็นภาพการเคลื่อนไหวทางการรบ เพราะถูกแฮกเข้าไปในระบบ
โจมตีในโครงข่าย บิดเบือนข้อมูลต่างๆ นานาจนกองทัพเสียการควบคุมบังคับบัญชา และพ่ายแพ้ ”
ทั้งนี้ ด้วยงบประมาณของพื้นที่ปฏิบัติการอื่นที่มีค่อนข้างมหาศาลเมื่อเทียบกับ “ไซเบอร์โดเมน” ทำให้ประเทศขนาดเล็กหลายประเทศ
ที่มีงบประมาณด้านการทหารจำกัด เลือกสร้างศักยภาพทางทหารให้แข็งแกร่งด้วย “ไซเบอร์ วอริเออร์ หรือ นักรบไซเบอร์” แทน ในต่างประเทศเราเห็นตัวอย่างของภัยคุกคาม หรือการโจมตีทางไซเบอร์ระดับรุนแรงกันอย่างบ่อยครั้ง
เช่น การปล่อย ไวรัสสตักซ์เน็ต ( Stuxnet ) ทำลายระบบโรงงานผลิตอาวุธนิวเคลียร์ในประเทศอิหร่าน จนทำให้ต้องปิดโรงงานทั้งหมด พล.ต.ฤทธีฯ บอกว่า หน่วยรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ National Cyber
security and Integration Center ( NCCIC ) ของประเทศสหรัฐอเมริกา
ได้กำหนดระดับภัยคุกคามด้านไซเบอร์ ( Spectrum of Cyber Threats ) ไว้ 4 ระดับ ดังนี้
1.ภัยคุกคามในระดับรัฐบาลแห่งชาติ ( National Governments ) คือ ภัยที่อาจจะเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ เช่น
การโฆษณาชวนเชื่อ การเปลี่ยนแปลงหน้าเว็บไซต์
เพื่อสร้างความรำคาญให้กับหน่วยงานของรัฐ ตลอดจนถึงขั้นทำให้เกิดการหยุดชะงักของโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบไฟฟ้า ประปา เป็นต้น
2. การก่อการร้าย และ กลุ่มการก่อร้าย ( Terrorists ) มุ่งสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของประเทศ
รวมทั้งสร้างความหวาดกลัวไปยังประชาชนในประเทศเป้าหมาย
3.สายลับหรือพวกจารกรรมในภาคอุตสาหกรรม และกลุ่มองค์กรอาชญากรรม ( Industrial
Spies and Organized Crime Groups ) การจารกรรมขององค์กรระหว่างประเทศ
และองค์กรเครือข่ายอาชญากรรมต่างๆ เป็นภัยคุกคามระดับกลางของประเทศ
4.กลุ่มแฮ็กเกอร์ที่มีอุดมการณ์ ( Hacktivists ) กลุ่มแฮ็กเกอร์ ( Hacker) ที่มีอุดมการณ์เป็นรูปแบบของกลุ่มเล็กๆ
มีแรงจูงใจหรือแนวทางเพื่ออุดมการณ์ทางการเมือง หรือบุคคลทางการเมือง
รวมทั้งกลุ่มต่อต้านต่างๆ ในระดับประเทศที่เป็นฝ่ายตรงกันข้าม
5. แฮ็กเกอร์ ( Hackers) การโจมตีไซเบอร์แบบนี้จะเกิดมากที่สุด
และมีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่อย่างกว้างขวาง โดยพวกเหล่าแฮ็กเกอร์มือสมัครเล่น
สามารถก่อให้เกิดภัยคุกคามที่สำคัญอย่างกว้างขวาง
และส่งผลกระทบรวมทั้งการสร้างความเสียหายในระยะยาวให้กับโครงสร้างพื้นฐานในระดับชาติได้
5
ข้อดังกล่าวคือภัยคุกคามของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐ ซึ่งห่างไกลจากระดับความรุนแรงของเมืองไทย
ที่ส่วนใหญ่จำนวนมากเป็นเพียงไวรัส มัลแวร์ , การแฮกหน้าเว็บ
และการโจมตีด้วยข้อมูลข่าวสาร ที่สร้างความเสียหาย ซึ่งภัยคุกคามของประเทศ
เป็นที่มาของการกำหนดภารกิจ ซึ่งกองทัพบกได้เน้นในเรื่องความมั่นคงของชาติเป็นหลัก
โดยให้ความสำคัญกับระดับภัยคุกคามด้านไซเบอร์ 4 ด้าน ได้แก่
1.ภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
การใช้ไซเบอร์เพื่อสร้างให้เป็นภัยคุกคามในระดับประเทศ หรือระดับชาติ
วิธีการอาจจะเพียงแค่ใช้เว็บไซต์ของประเทศตนเอง
เผยแพร่ข่าวสารที่ทำให้เกิดความได้เปรียบทางการเมือง หรือด้านความมั่นคง
หรือข้อมูลความลับของชาติ การแพร่กระจายโปรแกรม ไม่พึงประสงค์
2. ภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อจังหวัดชายแดนภาคใต้
( จชต. ) เป็นการใช้ไซเบอร์
เพื่อการเผยแพร่ข่าวสารของผู้ก่อความไม่สงบ
เพื่อให้สื่อมวลชนกระแสหลักนำไปเผยแพร่ต่อ หรือเพื่อให้ประชาชนทั่วไป
รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐเกิดความกลัวเกรง ถือเป็นการปฏิบัติการข่าวสาร (IO ) การปฏิบัติการจิตวิทยาอย่างหนึ่ง
นอกจากนั้นยังมีการแสดงถึงผลงานของผู้ก่อความไม่สงบที่อาจจะส่งผลกระทบ
ทำให้เกิดแนวร่วมของผู้ก่อความไม่สงบเพิ่มขึ้น
3.ภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อสถาบันฯ เป็นสิ่งที่กระทำได้ง่าย
และยากต่อการดำเนินคดีต่อผู้กระทำ การดำเนินการดังกล่าว
มีทั้งการเผยแพร่ภาพที่หมิ่นสถาบันฯ การวิจารณ์สถาบันฯ ในทางเสื่อมเสีย
โดยกฎหมายที่เกี่ยวข้องไม่อาจจะดำเนินการได้ เนื่องจาก
สาเหตุหลายประการ อาทิ ผู้กระทำไม่ได้อยู่ประเทศไทย
หรือผู้กระทำใช้เครื่องมือของต่างประเทศ ซึ่งกฎหมายของต่างประเทศไม่ได้รับรองความผิดในฐานความผิดนั้น
4.ภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของกองทัพ
เพื่อทำให้ภาพลักษณ์ของกองทัพหรือผู้นำกองทัพเสื่อมเสีย
เพื่อลดความน่าเชื่อถือในสังคม ย่อมจะสร้างความไม่เชื่อมั่นต่อการปกป้อง
หรือพิทักษ์อธิปไตยของชาติ
“ ปัจจุบันมีการมอนิเตอร์ เฝ้าระวัง
ข้อมูลข่าวสาร เนื้อหาต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องและสร้างผลกระทบต่อภาพลักษณ์
ความเชื่อมั่นของประเทศตลอดเวลา สิ่งไหนที่สามารถตอบโต้ได้ภายใต้กฎหมาย
เราก็จะพยายามสร้างเนื้อหา เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่พี่น้องประชาชน
ขณะเดียวกันยังตรวจสอบไปยังแหล่งที่มาของการสร้างความเสียหาย
เพื่อประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
กระทรวงไอซีที เพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป” ผอ.ศูนย์ไซเบอร์กล่าว
และว่านอกจากเรื่องระบบข้อมูลแล้ว
ศูนย์ไซเบอร์ยังมีหน้าที่รณรงค์ปลูกฝังให้ความรู้แก่ ข้าราชการทหารและประชาชนให้เกิดความตระหนัก
ในการใช้เครื่องมือสื่อสารอย่างชาญฉลาด ปลอดภัยไม่ตกเป็นเหยื่อ หรือเป็นพาหะในการแพร่กระจายความผิด
โดยไม่รู้เท่าไม่ถึงการณ์อีกด้วย ”
เร่งพัฒนานักรบอย่างต่อเรื่องทั้งเชิงรุกและเชิงรับ
พล.ต.ฤทธี บอกว่า การปฎิบัติการของศูนย์ไซเบอร์ในปัจจุบันให้น้ำหนักไปที่เชิงรับ
คือการพัฒนาระบบป้องกันเครือข่ายข้อมูลของหน่วยงานในกองทัพ ส่วนเชิงรุกเนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับ
แต่ก็ได้สร้างและพัฒนาคนไว้อย่างต่อเนื่อง
ดังเช่นการแข่งขันระบบงานจำลองการฝึกด้านไซเบอร์ (Cyber Range) ภายใต้งาน “อาร์มี ไซเบอร์คอนเทสต์ 2015”
(Army Cyber Contest 2015) ที่ผ่านมานั่นเอง
“ ในเชิงรุก
ยืนยันว่ากองทัพไม่ได้มีพัฒนาคนเพื่อไปละเมิดกฎหมายหรือสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างแน่นอน
เป็นหลักของการปฏิบัติงานในหน่วยงานอยู่แล้ว ”
ขณะเดียวกัน พล.ต.ฤทธี
บอกอีกว่า ในอนาคตกองทัพเตรียมพัฒนาหลักสูตรไซเบอร์เป็นของตัวเอง
เนื่องจากปัจจุบันสร้างคนจากหลักสูตรของสถาบันและบริษัทเอกชนอื่นที่มีหลักสูตรเรื่อง
การรักษาความปลอดภัยด้านสารสนเทศ หรือ ไซเบอร์ซีเคียวริตี้ และอีกหนึ่งความคาดหวังของ ผอ.ไซเบอร์ ก็คือ การลงทุนกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย
การรักษาความปลอดภัยด้านสารสนเทศ หรือ ไซเบอร์ซีเคียวริตี้ และอีกหนึ่งความคาดหวังของ ผอ.ไซเบอร์ ก็คือ การลงทุนกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย
“
มนุษย์มีข้อจำกัดทางด้านสมองและร่างกาย
เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยเฝ้าระวัง คัดกรองข้อมูล
หรือจัดการกับภัยคุกคามแทนคนมากกว่าที่เป็น
เนื่องจากปัจจุบันมีการกระทำความผิดในโลกไซเบอร์เยอะมาก ส่วนตัวเชื่อว่าอำนาจกำลังรบที่ไม่มีตัวตน
และลงทุนน้อยเป็นที่เรื่องควรให้ความสนใจ เพราะเป็นเครื่องมือที่จะช่วยรักษาความมั่นคงของประเทศที่ค่อนข้างได้ผลไม่น้อยหน้ากว่าอาวุธยุทโธปกรณ์
แสนยานุภาพกำลังรบอื่นๆ เพราะแฮกเกอร์คนเดียว อาจจะหยุดกองทัพได้ทั้งกองเลยก็ได้
”
สงครามไซเบอร์กำลังทรงพลัง และทรงประสิทธิภาพมากกว่าการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์
เราสามารถที่จะใช้การปฏิบัติการไซเบอร์สร้างความเข้าใจ บิดเบือน ชี้นำ หรือควบคุมอาวุธยุทโธปกรณ์ของฝ่ายตรงข้ามให้หันไปทางอื่น
หรือโจมตีกันเองก็ได้ นับเป็นการเปลี่ยนวิถีการรบในอนาคตอย่างแท้จริง
------------------------------------------
แหล่งที่มา : http://www.posttoday.com/analysis/report/389038
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น