กองทัพเร่งฝึก “นักรบไซเบอร์”
รับมือแฮกเกอร์ทั่วโลกโจมตีประเทศไทย
สกรู๊ฟพิเศษ ผู้จัดการออนไลน์
17 ก.ย. 58
บิ๊กตู่ สั่ง “ กองทัพ-สมคิด-อุตตมะ”
รับมือสงครามไซเบอร์ (Cyber Warfare) เร่งบูรณะเศรษฐกิจดิจิตอลให้ขับเคลื่อนไปพร้อมปกป้องความมั่นคงของชาติ
ด้านกองทัพพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญปฏิบัติการไซเบอร์ ทั้งใน
เชิงรุก-เชิงรับ
สกัดกั้นภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ ที่แฮกเกอร์ระดับโลกใช้ไทยเป็นเป้าโจมตี จัดตั้ง “ ศูนย์ไซเบอร์กองทัพ ” รับมือแฮกเกอร์ทั่วโลก
ที่เข้ามาสร้างผลกระทบต่อประเทศชาติ ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
ด้านผู้เชี่ยวชาญระบบคอมพ์ ย้ำทหารดูแลดีกว่าให้การเมืองคุมศูนย์ฯ
จากสถานการณ์ไซเบอร์ของประเทศไทยในวันนี้
ที่ถูกจัดอันดับว่าเป็นประเทศที่ถูกโจมตีผ่านระบบไซเบอร์เป็นอันดับที่ 33 จาก 250 ประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะสถานการณ์การถูกโจมตีเมื่อ เดือนสิงหาคม ที่ผ่านมานั้น
บรรดาหน้าเว็บไซต์ของหน่วยงานราชการ อาทิ เว็บไซต์ของจังหวัดลำพูน
และเว็บไซต์ของฝ่ายอำนวยการ 1 บก.อก. กองบัญชาการตำรวจนครบาล
(บช.น.) ถูกเจาะ
ระบบเปลี่ยนหน้าโฮมเพจเป็นข้อความเรียกร้องสันติภาพชาวมุสลิม
พร้อมระบุว่าเป็นฝีมือของ แฮกเกอร์แอลจีเรีย
ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นมาในขณะที่ประเทศไทย
ยังไม่มีมาตรการดูแลเรื่องความมั่นคงและปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ที่ชัดเจน และรัดกุม หากปล่อยไว้โดยไม่เร่งดำเนินการจัดการจากภัยคุกคามจากโลกไซเบอร์
บรรดาแฮกเกอร์ในที่ต่างๆ ทั่วโลก สามารถใช้จุดอ่อนหรือช่องโหว่ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศไทย
เข้ามาทำลาย หรือรบกวนขัดขวางการทำงานโดยโจมตีระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์โครงสร้างพื้นฐานสำคัญของชาติได้
ทั้งนี้เพราะระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานของภาครัฐ
หน่วยงานรัฐวิสาหกิจโทรคมนาคม ตลอดจนภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการคุกคามในระดับบุคคลและองค์กรซึ่งมีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศชาติ
เศรษฐกิจ และสังคม
ดังนั้น รัฐบาลพลเอกประยุทธ์
จันทร์โอชา จึงมีนโยบายและสั่งการ เพื่อรับมือกับสงครามไซเบอร์
โดยให้มีการบูรณการการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิตอล ควบคู่ไปกับความมั่นคงปลอดภัยด้านไซเบอร์ระดับชาติ
ซึ่งมอบหมายให้กระทรวงกลาโหมเป็นผู้ดูแลภาพรวม อย่างไรก็ดีกองทัพมีการเตรียมความพร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจดังกล่าว
ทั้งในเรื่องการพัฒนาบุคลากรทางการทหารให้มีความเชี่ยวชาญการปฏิบัติการด้านไซเบอร์เชิงรับ
( Defensive ) และการปฏิบัติการด้านไซเบอร์เชิงรุก ( Offensive
) โดยหลายปีที่ผ่านมา
มีการนำร่องการอบรมเพิ่มทักษะให้กับกำลังพลของกองทัพ โดย ศูนย์เทคโนโลยีทางทหาร
กองบัญชาการกองทัพบก ดำเนินการในเรื่อง อัตรากำลัง และงบประมาณที่จะฝึกฝนความรู้ทางด้านไซเบอร์
ให้บุคลากรนายทหารระดับสูงจนถึงระดับกลาง
ตลอดจนการสรรหาคนเก่งปรับจากชั้นประทวนเป็นชั้นสัญญาบัตรและจะสนับสนุนให้เป็นนักรบไซเบอร์หรือทหารรบไซเบอร์
และในปีที่ผ่านมา ยังมีการเปิดรับสมัครคนนอกที่เก่งด้านไซเบอร์เข้ามาติดยศเป็นนายทหารของกองบัญชาการกองทัพไทย
ปัจจุบันมีการพัฒนาบุคลากรของกองทัพในรูปแบบการแข่งขันระบบงานจำลองการฝึกด้านไซเบอร์
( Cyber
Range ) ที่จัดขึ้นภายใต้งาน “อาร์มี
ไซเบอร์คอนเทสต์ 2015” ( Army Cyber Contest 2015 ) เมื่อวันที่
9 กันยายน ที่ กองบัญชาการกองทัพบก ซึ่งทั้งหมดเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะขยายศูนย์เทคโนโลยีทางทหาร
สู่ “ ศูนย์ไซเบอร์ของกองทัพบก ” ให้เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
ภายใต้กรอบการปฏิบัติงานทั้ง “ Scope ” และ “ Scale ”
ออกเป็น 4 ด้าน คือ 1.ภัยคุกคามที่ส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ
2.ภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) 3.ภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อสถาบัน และ4.ภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของกองทัพ
ด้าน พล.ต.ฤทธี อินทราวุธ
ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีทางทหาร กล่าวว่า ถือว่าปีนี้เป็นครั้งแรกที่ กองบัญชาการกองทัพไทย
กองทัพบก กองทัพอากาศ กองทัพเรือ และสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการแข่งขัน
ซึ่ง
เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการฝึกทักษะเพื่อรองรับการปฏิบัติงานความมั่งคงปลอดภัยด้านไซเบอร์ของชาติ
( National
Cyber Security ) และการเตรียมพร้อมด้านบุคลากรซึ่งเป็นนักรบไซเบอร์ในการปฏิบัติการทางทหาร
ถือว่ามีความจำเป็นสำหรับยุคนี้ เพราะไซเบอร์สเปซ เป็น “โดเมนที่5”
ซึ่งนอกเหนือจากการฝึกทักษะทั้งทางพื้นดิน ผืนฟ้า อากาศ
และอวกาศแล้ว
การปฏิบัติการในไซเบอร์โดเมนจะเข้าไปเกี่ยวพันกับการปฏิบัติการในทุกมิติ
ขณะที่ ดร.ปริญญา หอมอเนก
ผู้เชี่ยวชาญทางระบบคอมพิวเตอร์และความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ ( Information Security ) ให้ความเห็นกับ Special scoop ว่าการตั้ง กองบัญชาการไซเบอร์
สอดคล้องกับสถานการณ์สงครามไซเบอร์ ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ ซึ่งภายในเวลา 5
เดือน เว็บไซต์ถูกเจาะระบบมากถึง 6,000 แห่ง นอกจากนั้นประเทศไทยยังติดอันดับโลกโดยเป็น
1 ใน 5 ของประเทศที่โดนแฮกมากที่สุด
เพราะเว็บไซต์โดนฝังไวรัสโทรจัน หน้าเวบเพจ เป็นว่าเล่น และยังติดอันดับ 7 ประเทศแรกที่โดนเป็นเป้าหมายโจมตีมากที่สุด
ซึ่งจากข้อมูลรีเสิร์ชของอเมริกา
ระบุว่า ไทยเป็นประเทศที่เป็นเป้าหมายถูกแฮก
ทั้งในมิติเรื่องความมั่นคงรัฐ ด้านธุรกิจ ซึ่งตรงนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องสร้างระบบความมั่นคงปลอดภัยด้านไซเบอร์ขึ้นมา
“ เมื่อเร็วๆ
นี้เว็บไซต์ภาครัฐถูกแฮกเกอร์เจาะแก้หน้าเว็บไซต์
ซึ่งจุดนี้ก็ต้องยอมรับว่าการรับมือสงครามไซเบอร์ของประเทศไทยยังไม่มีความพร้อม
โดยเฉพาะเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งมีเป็นหลักหมื่น
ต้องมีการปรับปรุงให้ได้มาตรฐาน เพราะยังกระจัดกระจายต่างคนต่างทำ
ตัวอย่างองค์การบริการจังหวัดได้งบมาก็ไปเช่าโฮสติ้ง 500 บาทต่อเดือน
แถมบางแห่งใช้ชื่อโดเมนลงท้ายว่า .com แทนที่จะใช้ .go.th
ปัญหาส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าไม่มีการตั้งหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบดูแลโดยตรง”
ส่วนแนวทางในการแก้ปัญหามีตั้งแต่ การตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อตรวจสอบดูแลเว็บไซต์ต่างๆ
ที่เป็นของราชการให้ผ่านมาตรฐาน โดยจ้างเอกชนมาทำหน้าที่ตรวจสอบ 10 บริษัทแบ่งให้รายละ
100 เว็บไซต์ แล้วนำมาหรือหากจะยึดการดำเนินการตามแนวทางเดิม
โดยหน่วยงานเป็นผู้ดำเนินการเว็บไซต์ด้วยตัวเองนั้น
ก็ต้องทำให้มีมาตรฐานมากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ดร.ปริญญา บอกด้วยว่า
ในการฝึกทหารไซเบอร์ที่กระทรวงกลาโหม
เป็นผู้ดูแลกับการตั้งหน่วยงานขึ้นมาตรวจสอบดูแลเว็บไซต์
สามารถดำเนินการไปด้วยกันได้ เพราะถือเป็นการเตรียมคนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้านความมั่นคงด้านไซเบอร์
( Cyber Security ) ขณะเดียวกันการที่ทหารฝึกนำระบบจำลองยุทธ์ทางไซเบอร์
ซึ่งเป็นการแข่งขันสนามจำลองยุทธ์ ประกอบด้วย 1.เกมเทคโนโลยี
2.เอ็ดดูเคชัน 3.เอนเตอร์เทนเมนต์
รวมกัน ซึ่งเกมนี้ส่งเสริมให้มีทักษะประสบการณ์ทางด้านไซเบอร์
และสร้างศักยภาพกำลังพลของกองทัพด้านไซเบอร์
เพระมีการฝึกทั้งเชิงรุกและเชิงรับโดยแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ
เรดทีม ( ทีมเจาะบุกเข้าไปแฮก : Offensive ) และบลูทีม (
Defensive ) เป็นทีมปิด
โดยวิธีการนี้จะเพิ่มจำนวนกำลังพลของศูนย์ไซเบอร์กองทัพบกไปถึงเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว
คาดว่าภายในเวลา 1- 2 ปี
บุคลากรที่เป็นนักรบไซเบอร์ที่มีความเก่งและความเชี่ยวชาญจะเพิ่มเป็นหลักร้อยคน ที่สำคัญหากประเทศไม่มีความมั่นคงทางไซเบอร์แล้ว
แนวคิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบดิจิตอลอีโคโนมีจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
ที่ผ่านมาเราใช้เศรษฐกิจนำ แต่อันที่จริงแล้วความมั่นคงและเศรษฐกิจจะต้องไปด้วยกัน
จะทำให้ดิจิตอลอีโคโนมีมีความชัดเจนดีขึ้นทั้งเศรษฐกิจและความปลอดภัย โดยในวันแถลงยุทธศาสตร์ชาติ-ยุทธศาสตร์ทหาร
พศ. 2559-2563 ของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.)
ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
กล่าวขณะเยี่ยมชมบูทศูนย์เทคโนโลยีทางทหาร ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของภัยบนโลกไซเบอร์
จึงให้นโยบายและแนวทางกับ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ
และ ดร.อุตตมะ สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
นำไปสานต่อ “ ให้นำแนวความคิด การปฏิบัติการไซเบอร์
และการต่อต้านสงครามไซเบอร์ของศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก ใส่ไว้ใน “ Digital
Economy ” จัดเชื่อมโยงเครือข่าย และขยายผลในระดับชาติ
รวมไว้ในโครงสร้างระบบเศรษฐกิจแบบ “ Digital Economy ” ของรัฐบาลและให้กระทรวงกลาโหมไปดูภาพรวม
”
ดร.ปริญญา ระบุว่า
การให้นโยบายครั้งนี้สอดคล้องกับบทบาทและศักยภาพการปฏิบัติงานของ “ ศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก
” ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
และรับมือกับภัยคุกคามที่มองไม่เห็นบนเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
จึงกำหนดให้ " ดิจิตอลอีโคโนมีจะต้องเชื่อมต่อกับไซเบอร์ซีเคียวริตี้
เพราะที่ผ่านมาต่างคนต่างทำไม่มีการเชื่อมโยงและบูรณาการดิจิตัลไปในภาคเศรษฐกิจ
ขณะที่กองทัพดำเนินการทางด้านความมั่นคงทางไซเบอร์” การที่พลเอกประยุทธ์ให้การบ้าน
รองนายกฯ และ รมว.ไอซีที ถือเป็นจุดเริ่มต้นว่าจะเอาจริงเอาจัง
เรื่องไซเบอร์บูรณาการเชื่อมโยงกับนโยบายดิจิตอลอีโคโนมีชัดเจน”
-------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น