สงครามไซเบอร์ : หนึ่งในมุมมองของ Richard A. Clarke
( Cyber warfare : Richard
A. Clarke’s
Point of view )
โดย พลตรี ฤทธี อินทราวุธ
ผู้อำนวยการศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก
วันสื่อสารแห่งชาติ
ประจำปี ๒๕๖๐ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมร่วมกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ( กสทช.) จัดสัมมนาวิชาการ ในหัวข้อ
“ สงครามไซเบอร์ในยุค
เศรษฐกิจดิจิตอลการพิจารณาเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศไทย ” ( Cyber warfare in Digital Economy
Era: Strategic Considerations for Thailand ) เมื่อ
๓ ส.ค.๖๐ ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี / รมว.กระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดงานฯ พร้อมด้วย ปลัดกระทรวงกลาโหม และผบ.เหล่าทัพ มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง โดยมีนาย Richard
A. Clarke ผู้เขียนหนังสือ Cyber War : The Next Threat to
National Security and What to Do About It และทำงานเป็นที่ปรึกษาพิเศษของสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา
ได้บรรยายเรื่อง Cyber
Security
นาย
Richard A. Clarke ได้บรรยายเรื่อง
Cyber Security โดยกล่าวถึงในปี
๑๙๙๗ ทางสหรัฐ ได้มีการฝึกเสนาธิการร่วมในระยะเวลา ๑ สัปดาห์
ซึ่งมีเรื่องของการรับมือการโจมตีทางไซเบอร์ คนที่รู้บ่งการดังกล่าวมีเพียง
รมว.กห.
และ หน.เสนาธิการร่วม ซึ่งผู้โจมตีก็ไม่รู้ว่าเป้าหมายตามสถานการณ์ฝึกฯ เป็น
เพนตากอน ซึ่งเป็นที่ตั้งของ กห.สหรัฐฯ ว่ามีระบบฯอะไรอยู่บ้าง? ทีมผู้โจมตีเป็นแค่ทีมเล็กๆ
สามารถใช้เวลาเพียง ๓๖ ชม. เท่านั้นก็สามารถเข้าควบคุมระบบสั่งการของเพนตากอนได้ การฝึกดังกล่าวจบลงแสดงให้เห็นว่า
Hacker สามารถเข้าถึงกองบัญชาการต่างๆได้ทั่วโลกเช่นเดียวกัน
ผลจากการฝึกดังกล่าวทำให้ รมว.กห.
สหรัฐฯ ต้องเรียกประชุมฉุกเฉินในเรื่องดังกล่าว ต่อมาสหรัฐฯ จึงต้องมีการติดตั้งระบบป้องกันการบุกรุกโจมตีไซเบอร์
( Intrusion Prevention System : IPS ) ขึ้นมาควบคุมดูแลเครือข่ายของกองทัพทั้งหมด
และมีการประเมินติดตามผลในทุก ๓ เดือน ว่ายังมีความปลอดภัยอยู่หรือไม่? ซึ่งตอบพบว่ายังไม่มีความปลอดภัย
เพราะการโจมตีอาจจะมีมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่เรายังไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง
ทางด้านประธานาธิบดีบิล คลินตัน ได้มีการร่างแผนยุทธศาสตร์ไซเบอร์ และเกิดแผนยุทธศาสตร์ฯ
ในอีก ๔๐ ประเทศตามมา เป็นการกำหนดความชัดเจนว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบในการบัญชาการ
และงบประมาณมาจากไหน หากประเทศไม่มี Roadmap ด้านไซเบอร์
เราก็จะไม่มีแผนการดำเนินการและจะขาดความมั่นคงปลอดภัยในที่สุด เมื่อเกิดการโจมตี
ก็จะมีคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น โดยมีด้านหรือมิติที่เกี่ยวข้อง ๔ อย่าง คือ CHEW ( Crime , Hacktivism , Espionage , War
)
C อาชญากรรม
( Crime ) กรณีเกาหลีเหนือขโมยเงินทางธุรกรรมจากประเทศฟิลิปปินส์
และบังกลาเทศ Hacker
สามารถเจาะเข้าไปในระบบและทำการโอนเงินไปในหลายๆ
ที่ ทำให้การตามหาผู้กระทำผิดหรือได้เงินคืนเป็นเรื่องยาก
ในภาพรวมองค์การอาชญากรรมทางไซเบอร์มีศักยภาพในการขโมยเงินได้มากกว่ากลุ่มค้ายาเสพติดหลายเท่า
ถึงจะส่งผลกระทบแต่ไม่สามารถจับกุมได้
เนื่องจากมีการติดสินบนทั้งตำรวจหรือคนในระดับรัฐบาล ขณะที่ทั้ง NSA และ
FBI มีการระบุว่าเป็นคนๆหนึ่งทราบชื่อแล้ว
แต่เมื่อให้ทางประเทศรัสเซีย หรือประเทศอื่นๆ
ช่วยตามจับกุมก็จะไม่สามารถพบตัวตนที่แท้จริงได้
ทำให้ประเทศเหล่านั้นเป็นพื้นที่หลบซ่อน การโจมตีทางไซเบอร์จึงยังคงอยู่ต่อไป
ในขณะเกิดการโจมตีอย่างธนาคารก็จะประเมินความเสียหาย หากไม่สามารถนำกลับมาได้
เขาก็ต้องหาทางชดเชยกับลูกค้าอื่นๆ นั่นก็คือ ถึงแม้ว่าธนาคารจะโดนโจมตี แต่ประชาชนหรือลูกค้าก็ถูกขโมยเงินเช่นกัน
H แฮกติวิสซึม
( Hacktivism ) การเจาะข้อมูลเพื่อการเผยแพร่ต่อสาธารณะ
เพื่อให้เกิดความอับอายทั้งภาครัฐและเอกชน โดยจะถูกนำไปตีพิมพ์ไว้ที่ Wikileak ซึ่งผู้บรรยายเคยมีการส่ง
E-mail ลับ
ระหว่างเอกอัครราชทูตฯ เนื้อหาบางส่วนเป็นการตำนิประธานาธิบดีฯ หากถูกเผยแพร่ออกไป
ตัวเขาคงกลับไปทำงานในทำเนียบขาวไม่ได้แล้ว ในกรณี E-mail ของนาง ฮิลลารี
คลินตัน ที่ถูกเปิดเผยออกมาทำให้ส่งผลเสียในการเลือกตั้ง ทำให้แพ้การเลือกตั้ง
ซึ่งข้อมูลลับที่เปิดเผยออกมาทำลายทั้งองค์กร
หรือถึงขั้นการไม่ได้เป็นประธานาธิบดี ได้เช่นกัน
E จารกรรม
( Espionage ) การจ้างสายลับเพื่อขโมยเอกสารลับออกมาเปิดเผย
หรือส่งไปให้สายลับอีกคนหนึ่ง แต่ทุกวันนี้การขโมยข้อมูลลับ
สามารถเจาะข้อมูลจากที่บ้านได้เลย ตอนนี้เรามีโดรน ( Drone ) และผู้บรรยายเคยไปงานเกี่ยวกับอากาศยานแล้วพบว่าแบบแปลนดังกล่าว
ทางเราไม่เคยขายออกไป แต่เราพบโดรนที่มาจากประเทศจีนซึ่งจีนอาจจะมีนักเจาะข้อมูลเพื่อขโมยแบบแปลนดังกล่าว
ดังนั้นบริษัทมักจะถูกเจาะระบบทุกวัน โดยเฉพาะคู่แข่งทางการค้า บางบริษัทฯ
ต้องลงทุกวิจัยใช้งบประมาณมากมาย แต่ก็ต้องโดนคู่แข่งผลิตของเลียนแบบ
ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ
W สงคราม
( War ) ในห้วง
๗ ปี ที่ผู้บรรยายได้เขียนหนังสือ Cyber War มีหลายคนบอกว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้
แต่ก็มีเหตุการณ์ที่รัสเซียบุกจอร์เจีย และก่อนที่จะบุกโดยรถถัง ระบบสื่อสาร
ธนาคารของประเทศล่มหมด ทำให้ไม่สามารถเผยแพร่หรือรายงานการโจมตีออกไปสู่ภายนอกได้
ในเรื่องของ Stuxnet
virus ที่มีการโจมตีโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ประเทศอิหร่าน
ถึงแม้ว่าเป็นระบบภายใน ( Intranet
) ไม่ได้ต่อออกสู่ภายนอก แต่ทั้งสหรัฐและอิสราเอลก็สามารถหาทางเจาะเข้าไปได้
ส่งผลให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของโรงงานฯกว่า ๘๐๐ เครื่องถูกทำลาย ถือเป็นการทำลายทางกายภาพโดยตรง
สำหรับคำสั่งการโจมตีดังกล่าวเป็นเพียงหนอนไวรัส ( Worm ) และโปรแกรมไม่พึงประสงค์
( Malware ) ซึ่งมีการกระจายไปทั่วโลก
สำหรับการจัดทำยุทธศาสตร์ด้านไซเบอร์
ต้องตอบคำถาม ๖ คำถาม เพื่อให้เกิดการพิจารณาดังนี้
๑.
เราจะรุกอะไร?
รับอะไร?
สำหรับการรุกเป็นวิธีที่รวดเร็ว ประหยัดได้ผลที่สุด แต่ไม่สำคัญเท่าการรับ
ในยุทธการระดับประเทศ การป้องกันถือเป็นยุทธศาสตร์แรก
การโจมตีหรือรุกอาจจะมีค่าใช้จ่ายจัดตั้งทีมเจาะระบบสูงกว่า ๒ ล้านเหรียญสหรัฐ
แต่การป้องกันต้องใช้งบประมาณเป็น ๑,๐๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือน ธ.ค.๕๙
มีการโจมตีโครงข่ายการไฟฟ้าของยูเครน โดยรัสเซีย ทั้งฝ่ายยูเครนต้องใช้เวลาถึง ๖
ชม.ในการฟื้นฟูระบบฯ และหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ในประเทศไทย เราไม่มีไฟฟ้าใช้ ๖
เดือน อะไรจะเกิดขึ้น ดังนั้นการตั้งรับจึงเป็นสิ่งสำคัญเป็นอันดับแรก
๒.
คำถามเกี่ยวกับภาคเอกชน ซึ่งมีทั้งการแพทย์ ตลาดหุ้น หน่วยงานเหล่านี้ มีการพิจารณาด้านความปลอดภัยกันเองหรือไม่?
หรือให้ภาครัฐเข้าไปกำกับดูแล
ซึ่งโดยปกติเอกชนไม่อยากให้ภาครัฐเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้านความปลอดภัย
จริงๆแล้วการกำกับดูแลของภาครัฐก็มีข้อจำกัด เพราะไม่รู้ว่าเอกชนทำงานอย่างไร?
จึงควรมีความร่วมมือระหว่างกัน รัฐจะต้องกำหนดเป้าหมายด้านความปลอดภัยร่วมกับภาคเอกชน
และมีการตรวจสอบจากภาครัฐอีกครั้งหนึ่ง ในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น โรงไฟฟ้า , โรงพยาบาล
เป็นต้น ในห้วงที่ผ่านมาโรงพยาบาลในสหรัฐถูกโจมตีด้วย WannaCry, PetYa ต้องปิดการให้บริการทางโรงพยาบาลเองก็ไม่ทราบจะจัดการเรื่องดังกล่าวอย่างไร
ดังนั้นรัฐต้องควบคุมแต่ไม่ได้บังคับ
หรือจะบังคับต้องอาศัยวิธีการที่ชาญฉลาดพร้อมการตรวจสอบไปในตัว
๓.
ประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัว ในองค์กรประเภท NGO อยากจะได้รับการคุ้มครองในเรื่องความเป็นส่วนตัว
หากภาครัฐเข้ามากำกับดูแลก็ถูกมองว่าเป็นการควบคุมนั่นเอง ซึ่งในด้านความมั่นคงและด้านความเป็นส่วนตัวมีความขัดแย้งกันในตัว
กรณีประวัติการรักษาพยาบาลถูกเจาะข้อมูลนำไปเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตก็คือเรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัว
การป้องกันเรื่องดังกล่าวก็ต้องใช้ด้านความมั่นคงเข้าไปจัดการ
ดังนั้นไม่ต้องมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันเพราะทั้งสองด้านไม่มีใครผิดไม่มีใครถูก
รัฐต้องดูแลทั้งความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวไปพร้อมกันด้วย เช่น กรณีรัฐบาลสหรัฐมีการดักฟังโทรศัพท์
โดยดูข้อมูลที่เป็น Meta
Data เมื่อมีการร้องเรียนก็ต้องมีหมายศาลในเรื่องดังกล่าว
โดยศาลเองก็ต้องมีกระบวนการที่รวดเร็วในการออกหมาย
ศาลโดยปกติจะไม่เข้าใจเรื่องไซเบอร์ ทางสหรัฐมีการจัดตั้งศาลเฉพาะด้านที่มีความรู้ความเข้าใจด้วยทั้งด้านโทรคมนาคมและการสื่อสาร
ศาลจึงต้องเข้าสู่ยุคสารสนเทศเช่นเดียวกัน
ถือเป็นบริการของภาครัฐในการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลและระบบสารสนเทศ
๔.
เวลาที่เราต้องลงทุน
ในการลงทุนไปกับซอฟต์แวร์ในการค้นหาข้อมูลสินค้าเมื่อลูกค้าหาสินค้าที่ต้องการเจอและสั่งสินค้า
บริษัทมีการส่งสินค้าไปถึงมือลูกค้าให้ปลอดภัยไม่เสียหาย คำถามคือ เป็นเรื่องซอฟต์แวร์หรือเรื่องบุคคล
ตอบก็คือ เราต้องลงทุนในเรื่องคน ซึ่งสามารถช่วยป้องกันระบบเครือข่ายขายสินค้าของเราได้
หากเราไม่มีผู้เชี่ยวชาญ เราจะปกป้องสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะด้านการทหาร
บุคคลที่เก่งมักจะไม่เข้ามาในวงการทหาร สาเหตุเพราะไม่อยากเป็นทหาร
ไม่อยากแต่งเครื่องแบบ หากเราต้องการคนที่มีความเชี่ยวชาญก็ต้องเปิดใจ
เปิดรับคนใหม่ๆ ทั้งประเทศรัสเซีย และอิสราเอล หากเขาจับกุมวัยรุ่นที่เป็น Hacker เขาจะส่งไปเป็นทหาร
เราจึงควรมีการฝึกอบรมคนเหล่านี้เป็นพันๆ คน เพื่อรับมือภัยคุกคามใหม่ๆ
จากการสำรวจตำแหน่งงานที่ว่างโดยเฉพาะการทหาร ซึ่งมีเป็นแสนตำแหน่งที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญทางไซเบอร์ที่จะเข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้อีกมาก
ขนาดว่าเราส่งเสริมทั้งการศึกษามีทุนเรียนด้านไซเบอร์เพื่อให้เข้ามาทำงานภาครัฐ
แต่สุดท้ายก็ยังมีตำแหน่งว่างอยู่ดี
๕.
นวัตกรรม ทุกคนมักจะผลิตสิ่งใหม่ๆ เพื่อขายในตลาด โดยไม่สนใจความปลอดภัย
มีอุปกรณ์นับพันล้านชิ้นที่ต่อเชื่อมอินเตอร์เน็ต และในอีก ๓ ปีข้างหน้า อาจจะเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านชิ้น
สำหรับแนวคิดเรื่อง IoT
-Internet of Thing ทุกอุปกรณ์สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่อินเตอร์เน็ตด้วยตัวมันเอง
เช่นเครื่องขายน้ำอัดลมแบบหยอดเหรียญ
ก็ต้องต่ออินเตอร์เน็ตเพื่อจะได้ทราบว่าสินค้าหมดแล้วหรือยัง นอกจากนั้นแม้แต่ลิฟต์ก็ต้องมีการต่อเชื่อมอินเตอร์เน็ตเพื่อจะทราบข้อมูลการเข้าไปดูแลรักษาตามห้วงเวลา
ถ้านวัตกรรมเชื่อถือไม่ได้จะเกิดปัญหา เช่น มีการเจาะเข้าไปในคาสิโน
โดยอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมอ่างเลี้ยงปลาในการควบคุมปริมาณออกซิเจนและใช้มันเป็นเครื่องมือเจาะเครื่องอื่นๆต่อไป
นอกจากเครื่องควบคุม CCTV
ก็มีโอกาสเป็นเหยื่อด้วยเช่นกัน
ถ้าให้เลือกน้ำหนักของนวัตกรรม กับความน่าเชื่อถือ
ผู้บรรยายให้น้ำหนักทางความน่าเชื่อถือมากกว่า
๖.
ด้านการออกแบบยุทธศาสตร์ เราจะเน้นในเรื่องการป้องกันหรือฟื้นฟูหลังการโจมตี
ในระบบคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องถูกโจมตี ในเครือข่ายลับก็ถูกโจมตี หน่วยงานลับ CIA ก็ถูกโจมตี
ซึ่งประเทศต่างๆ ต้องเผชิญกับฝ่ายตรงข้ามอย่างรัสเซีย จีน ที่มีขีดความสามารถสูง
ซึ่งเชื่อว่าเขาทำได้อย่างแน่นอน เราอาจจะป้องกัน Hacker ทั่วไปได้
แต่มืออาชีพนั้นไม่มีทางป้องกันได้ หลังถูกโจมตีต้องฟื้นฟูให้เร็วที่สุด
โดยปกติทุกภาคส่วนมักจะคิดป้องกันการเจาะระบบ ลดความเสียหาย
การแบ่งแยกระบบงานและเครือข่าย และต้องมีการฟื้นฟู มีระบบสำรอง ( Backup ) ให้ระบบกลับมาใช้งานตามปกติให้เร็วที่สุด
หากทุกคนต้องทำยุทธศาสตร์ด้านไซเบอร์
ต้องตอบคำถามทั้ง ๖ ข้อให้ได้ แผนที่มีไม่ได้สั่งจากบนลงล่างอย่างเดียว
ทั้งหมดต้องมีส่วนร่วมในการวางแผน มีการโต้เถียงกันให้ได้ข้อยุติ
ในประเทศไทยเรามีทหารที่เข้มแข็ง แต่จะไม่ปลอดภัยหากไม่มีการป้องกันทางไซเบอร์
คำถามเกี่ยวกับหน่วยบัญชาการไซเบอร์
( Cyber Command ) สหรัฐมีการรวมทั้ง
๓ เหล่าทัพขึ้นตรงต่อ รมว.กห.สหรัฐฯ ในประเทศกว่า ๒๐
ประเทศที่มีการจัดตั้งหน่วยดังกล่าว มีทั้งเล็กใหญ่ตามรูปแบบของแต่ละประเทศ
หากเรามี Cyber
Command ไม่ได้หมายความว่าหน่วยอื่นๆจะไม่สนใจด้านไซเบอร์
ประเทศไทยต้องออกแบบการพัฒนาไซเบอร์ และมองให้ออกว่ามันได้ประโยชน์ต่อประเทศอย่างไร
ต้องหาคนมาเป็นผู้เชี่ยวชาญ รวมคนเหล่านั้นเข้าด้วยกัน
คำถามกรณี
9/11 เราให้ความสำคัญหน่วยงานที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน
สร้าง Red Team เพื่อการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ
ซักซ้อมการโจมตี การวางแผนสำรองกรณีฉุกเฉิน ให้กระทรวงทั้งหมดปรับการทำงาน
โดยไม่ต้องมีการสั่งการจากศูนย์บัญชาการเพียงอย่างเดียว
แต่ถึงอย่างไรศูนย์บัญชาการสำรองก็อาจจะไม่มีคนเพียงพอ
ถึงแม้จะมีคนไม่พอก็ต้องพยายามเฝ้าระวังในทุกๆวันอย่างต่อเนื่อง
การฝึกด้านไซเบอร์ต้องทำบ่อยๆ แผนในเอกสารไม่มีประโยชน์ คนต้องได้ทำจริง
ปฏิบัติจริง สำหรับเรื่องอาชญากรรมข้ามชาติต้องมีความร่วมมือในการติดตามจับกุมตัวและมีมาตรการลงโทษประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมือ
คำถามเรื่อง
สงครามสารสนเทศและสงครามไซเบอร์ ในสหรัฐมองว่า Information Warfare ไม่ค่อยได้ใช้แล้ว
เพราะแยกไม่ออกระหว่างสงครามจิตวิทยาหรือไซเบอร์กันแน่ เช่นในกรณีของการ์ต้าที่ถูกการเจาะระบบและเปิดเผยข้อมูล
เป็นการใช้สงครามไซเบอร์เพื่อยึดครองเครือข่าย
และใช้การโฆษณาชวนเชื่อเพื่อการขยายผลดังกล่าว
คำถามขอให้ผู้บรรยายกล่าวถึงหนังสือใหม่ชื่อที่ว่า
Warnings เล่าถึงการแจ้งเตือน
ซึ่งจะมีขึ้นทุกๆ ครั้งที่มีภัยพิบัติขนาดใหญ่ โดยปกติมักจะมีคนทำนายว่าเกิดเหตุการณ์ใหญ่ขึ้นแต่คนไม่สนใจ
เรามักจะไปแสวงหาผู้เชี่ยวชาญมาให้ความเห็น แต่อาจจะมีบางความเห็นซึ่งไม่สอดคล้องกับส่วนใหญ่คนก็ไม่สนใจ
อย่างกรณีของโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ของญี่ปุ่น มีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบ
ติดริมทะเล มีคนบอกว่าอาจจะเกิดแผ่นดินไหวและเกิดสึนามิ ซึ่งไม่มีใครเชื่อ แต่ปรากฎว่ามีเหตุการณ์จริง
มีคนถามว่าท่านรู้ได้อย่างไร
เขาก็บอกว่าได้เดินสำรวจบนภูเขาและมีป้ายศาลาหลักเขียนเตือนว่าอย่างสร้างสิ่งก่อสร้างที่มีระดับต่ำกว่านี้และเป็นการเตือนเมื่อ
๔๐๐ ปีมาแล้ว เป็นต้น
จริงๆ
แล้วเรื่องเหล่านี้ ในบ้านเมืองเราได้มีการหยิกยกมาพูดคุยกันซ้ำแล้วซ้ำเล่ากันนานแล้วในหลายๆ
เวที รวมถึงบทความ และสื่อต่างๆ แต่ด้วยความเป็นวัฒนธรรมของเรา ที่มักจะไม่ค่อยจะให้ความสำคัญกับเรื่องราวพวกนี้รวมถึงเครดิตคนไทยด้วยกันเองมากนัก
จึงจำเป็นต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาบรรยาย
อาจจะได้รับความเชื่อถือและความสนใจใส่ใจจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น ที่ผ่านมามักมีแต่การสร้างกระแส เกาะกระแส ไม่ค่อยเอาจริงเอาจังกันเท่าไหร่ ปล่อยให้ผู้ปฏิบัติงานจริง ตัวจริง เสียงจริง ติ้นรนกันไป แต่บทเรียนในอดีตที่ผ่านมา พอมีการสนใจใส่ใจเอาจริงเอาจังของผู้หลักผู้ใหญ่ในการผลักดันส่งเสริมสนับสนุนจนเกิดหน่วยงาน Cyber Command อย่างเป็นรูปธรรมขึ้นมา ก็จะมีองค์เทพลงมาจุติ ทำนองว่า คนรู้ไม่ได้ทำ คนที่มาทำไม่ค่อยจะรู้ หรือรู้แบบงูๆ ปลาๆ พากันเข้าป่าเข้าดงไป และขอขอบคุณ
พ.อ.นิพัฒน์ เล็กฉลาด จาก ศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก ที่สรุปประเด็นสาระการบรรยายของ Richard A. Clarke ที่เป็นประโยชน์เพื่อนำมาเผยแพร่ในครั้งนี้
-----------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น