กองทัพบกกับความมั่นคงปลอดภัยด้านไซเบอร์ของชาติ
( Army
and National
Cyber Security )
โดย
พันเอก ฤทธี อินทราวุธ
รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีทางทหาร
วิวัฒนาการและความเจริญก้าวหน้า ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของโลกยุคปัจจุบัน นับวันจะเจริญเติบโต ขยายตัว
และมีการพัฒนาขีดความสามารถ ประสิทธิภาพ และนวัตกรรมต่างๆ ขึ้นมา
เพื่อรองรับความต้องการในการใช้งานของมนุษย์
และองค์กรสมัยใหม่ ที่ต้องการเสริมสร้างศักยภาพของตนเองและองค์กร เพื่อให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน
รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์และจุดยืนของตนให้ทัดเทียม หรือนำหน้ากว่าผู้อื่นๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
และเป็นการแสดงถึงความทันสมัย ไม่ล้าหลังใคร
ดังนั้น ทุกองค์กรจึงต่างหันมาให้ความสนใจในการพัฒนาองค์กร โดยใช้เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร มาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาองค์กร
รวมถึงการนำเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารมาใช้เป็นกลไกขับเคลื่อนในการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ
ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา และการทหาร เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการบริหารจัดการให้เกิดศักยภาพ
และความทันสมัย
ทุกสรรพสิ่งในโลก ยิ่งมีคุณอนันต์ ก็จะยิ่งมีโทษมหันต์
ฉันใด อันความเจริญ ก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ยิ่งมีการพัฒนาเจริญก้าวหน้า และมีคุณประโยชน์อเนกอนันต์มากขึ้นเท่าใด
ก็ยิ่งมีโทษภัย
มหันต์ติดตามมามากขึ้นเพียงนั้น คงไม่มีใครปฏิเสธถึงคุณประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ส่วนพิษภัยที่เกิดจากตัวเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเองโดยตรงนั้นแทบจะมองไม่เห็น
แต่ผลที่เกิดจากการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มาใช้งานที่ไม่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรม
หรือการนำมาใช้เพื่อผลทางมิชอบ รวมถึงการนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการทหาร นับเป็นมหันตภัยอันใหญ่หลวง
ที่กำลังคุกคามความมั่นคงในด้านต่างๆ บนไซเบอร์ ในวงการสารสนเทศเป็นที่ทราบกันดีว่า
ภัยคุกคามด้านไซเบอร์ ( Cyber Threats ) ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการทหาร
ไม่ว่าจะเป็นการเจาะระบบ ( Hack / Crack ) , การฝั่งโปรแกรมลักลอบโจรกรรมข้อมูล
เช่น สปายแวร์ ( Spyware ) หรือ ประตูหลัง ( Back
Door ) , การโจมตีด้วยโปรแกรมมัลแวร์ ( Malware ) อาทิเช่น ไวรัสคอมพิวเตอร์ (
Computer Virus ) , หนอนคอมพิวเตอร์
( Computer Worm ) หรือ ม้าโทรจัน ( Trojan Horse ) , การใช้โปรแกรมตั้งเวลาทำงานเพื่อการทำลาย ( Logic
Bomb ) , การโจมตีแบบ
DoS/DDos , การใช้โปรแกรมหุ่นยนต์โจมตีเพื่อเป็นฐานโจมตีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์บนเครือข่ายสารสนเทศ
( BOTNET / Robot Network ) , การสร้างข้อมูลขยะ ( Spam ) เป็นต้น
บางประเทศ ที่เป็นประเทศมหาอำนาจทางด้านเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศมหาอำนาจทางด้านการทหาร ได้กำหนด มิติด้านไซเบอร์ ( Cyber
Domain ) เป็นโดเมนที่ ๕ นอกเหนือจาก มิติภาคพื้นดิน ( Land
Domain ) , มิติภาคพื้นน้ำ ( Sea Domain ) ,
มิติภาคอากาศ ( Air Domain ) และมิติด้านอวกาศ ( Space
Domain ) เพื่อรับมือกับภัยคุกคามด้านไซเบอร์
และเสริมแสนยานุภาพในการปฏิบัติการทางทหาร รวมถึงการปฏิบัติการทางทหารที่มิใช่สงคราม ( Military Operations Other Than War ; MOOT War )
ดังนั้นจึงถือได้ว่า วิวัฒนาการและความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในยุคปัจจุบันและในอนาคต ถูกนำมาสร้างเป็น ภัยคุกคามด้านไซเบอร์ มีผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของประเทศในด้านต่างๆ
รวมถึงผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยด้านการใช้งานบนไซเบอร์
ประเทศไทยโดย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ได้ตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ( Cyber
Security Operation Center : CSOC ) เมื่อปี ๒๕๕๓
โดยมุ่งเน้นการดำเนินการติดตาม เฝ้าระวัง ตรวจสอบวิเคราะห์เว็บไซต์
และข้อมูลอินเทอร์เน็ตที่ไม่เหมาะสม หรือผิดกฎหมายต่างๆ
โดยเฉพาะเว็บหมิ่นสถาบัน ต่อมาในปี ๒๕๕๖ รัฐบาลปัจจุบันได้ตระหนักถึง
ภัยคุกคามด้านไซเบอร์ ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีมาตรการทางกฎหมาย
และมีหน่วยงานของรัฐกำกับดูแลภัยคุกคามด้านนี้มาแล้วหลายปี
แต่แนวโน้มความรุนแรงและการขยายตัวของภัยคุกคามยังมีความต่อเนื่อง
แพร่หลายไปกระทบความเชื่อมั่นด้านความมั่นคงของประเทศในด้านต่างๆ
ดังนั้นรัฐบาลจึงได้แต่งตั้ง คณะกรรมการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ( National Cyber Security Committee
: NCSC ) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีฯ เป็นประธาน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านความมั่นคง กระบวนการยุติธรรม และด้านเศรษฐกิจ
ร่วมเป็นกรรมการโดยมีเจ้ากรมเทคโนโลยีสารสนเทศและกิจการอวกาศกลาโหม
เป็นเลขานุการฯ โดยมีหน้าที่หลักในการจัดทำ
นโยบายความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
เพื่อให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการปกป้อง ป้องกัน รับมือ
และลดความเสี่ยงจากสถานการณ์ด้านภัยคุกคามในไซเบอร์ ที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ
ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ครอบคลุมถึงความมั่นคงทางการทหาร
ความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
ตลอดจนติดตามและประเมินผลการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานต่างๆ
ที่เกี่ยวข้อง
อันจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
สอดคล้องกับแนวทางการจัดการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประชาคมอาเซียน
ในส่วนของวงการทหาร
นายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้อนุมัติหลักการให้จัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการไซเบอร์กลาโหม
ขึ้นโดย กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ เตรียมจัดตั้งหน่วยงานด้านไซเบอร์โดยตรง
( Cyber Command ) เพื่อขึ้นมารองรับการปฏิบัติงานความมั่งคงปลอดภัยของประเทศ
จากภัยคุกคามด้านไซเบอร์ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ครอบคลุมถึงความมั่นคงทางการทหาร
ความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ โดยศูนย์ปฏิบัติการไซเบอร์กลาโหม (
Cyber Operations Center ) จะเป็นแกนหลักในด้านการพัฒนาบุคลากรด้านนี้ให้กับกำลังพลสังกัดกระทรวงกลาโหม
โดยจะมีห้องปฏิบัติการสำหรับการฝึกปฏิบัติด้านสงครามไซเบอร์ ( Cyber
Warfare ) รวมถึงการสร้างภาคี เครือข่าย ประชาคม ทั้งภาครัฐและเอกชน
เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของประเทศด้านไซเบอร์ในการรับมือกับภัยคุกคามด้านไซเบอร์
กองทัพบก ได้มีนโยบายและอนุมัติหลักการให้
ศูนย์เทคโนโลยีทางทหาร ( ศทท. ) ดำเนินการปรับปรุงภารกิจและโครงสร้างการจัดหน่วย โดยเพิ่มเติมภารกิจด้านการปฏิบัติการสงครามไซเบอร์
และปรับสายการบังคับบัญชาจากเดิม เป็นหน่วยขึ้นตรงกรมการทหารสื่อสาร มาเป็นหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก
( นขต.ทบ. ) เพื่อเตรียมรองรับการปฏิบัติงานความมั่งคงปลอดภัยด้านไซเบอร์ ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ
โดยเฉพาะความมั่นคงทางการทหาร และการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ
รวมถึงการปฏิบัติการที่ประสานสอดคล้องกับกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย
และเหล่าทัพต่างๆ ตลอดจนรองรับการปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง ( Network Centric Operations ; NCO ) โดยแนวความคิดเบื้องต้นในการเตรียมการดำเนินการพัฒนาปรับปรุงภารกิจ
โครงสร้างการจัดหน่วย และการพัฒนาศักยภาพของกำลังพล ให้มีคุณวุฒิการศึกษา
คุณลักษณะ ขีดความสามารถ ประสบการณ์
และความถนัดเฉพาะด้านที่สอดคล้องกับตำแหน่งหน้าที่การงาน ( put the right man to the right job )
เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการปรับเกลี่ย
โยกย้าย และการบรรจุกำลังพลด้านปฏิบัติการเป็นหลักมากกว่างานทางธุรการ
ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า ๗๐ : ๓๐ สำหรับในด้านการปรับปรุงโครงสร้างการจัดหน่วย โดยแปรสภาพ กองการสงครามสารสนเทศ เป็น
กองปฏิบัติการไซเบอร์ ( Cyber Operations Division ) ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติการด้านไซเบอร์เชิงรุก
( Cyber Offensive Operations ) ดำเนินการด้านการตรวจสอบสภาพแวดล้อมของภัยคุกคาม
การวางแผนควบคุมการปฏิบัติ และการปฏิบัติการไซเบอร์ โดยจะมีการบรรจุและพัฒนากำลังพลที่มีความรู้
ความเชี่ยวชาญ และได้รับการฝึกฝนด้านการปฏิบัติการไซเบอร์
ปฏิบัติหน้าที่เป็นนักรบไซเบอร์ ( Cyber Warriors ) อยู่ในชุดปฏิบัติการไซเบอร์
( Cyber Operation Teams ; COT ) และชุดเตรียมพร้อมเผชิญเหตุฉุกเฉินด้านไซเบอร์
( Cyber Emergency Response Teams ; CERT ) เป็นหน่วยปฏิบัติการ
และเตรียมจัดตั้ง กองรักษาความปลอดภัยด้านไซเบอร์ ( Cyber Security Division ) ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติการด้านไซเบอร์เชิงรับ
( Cyber Defensive Operations ) ดำเนินการด้านระเบียบการรักษาความปลอดภัยสารสนเทศ
การป้องกัน เฝ้าระวัง ตรวจสอบช่องโหว่ โดยใช้เครื่องมือระบบตรวจหาการบุกรุก ( Intrution Detection System : IDS )
และระบบป้องกันการบุกรุก ( Intrution Protection System : IPS ) รวมถึงการกู้คืนสภาพเมื่อถูกโจมตี ( Recovery ) ตลอดจนการพัฒนาโปรแกรมและเครื่องมือต่างๆ
เพื่อรองรับงานด้านไซเบอร์ นอกจากนี้ยังได้เตรียมการด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ
ด้านไซเบอร์ โดยแสวงความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกกองทัพ
ทั้งภาครัฐและองค์กรเอกชนในด้านวิชาการ การวิจัยพัฒนา ( R&D ) การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ( Workshop )
และการฝึกปฏิบัติต่างๆ โดยเฉพาะการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุด้านไซเบอร์ ( Cyber
Incident Action Plan Exercise ) การฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินด้านไซเบอร์ (
Cyber Emergency Response Exercise )
การฝึกซ้อมการปฏิบัติการ ไซเบอร์ ( Cyber
Operations Exercise ) และการฝึกจำลองสงครามไซเบอร์ ( Cyber
Warfare Simulation Exercise ) เป็นต้น
จากนโยบายและแนวความคิดในการดำเนินการของหน่วยงานด้านไซเบอร์ของกองทัพบก
จะเห็นได้ว่า
ความพร้อมในด้านการรับมือภัยคุกคามด้านความมั่นคงปลอดภัยด้านไซเบอร์ของชาติ
ยังอยู่ในขั้นของการเตรียมการ ซึ่งจะพอมองเห็นถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการไปสู่ขั้นของการปฏิบัติ
และผลสัมฤทธิ์ตามเจตนารมณ์ของผู้บังคับบัญชา ทั้งนี้กองทัพบกจะต้องเร่งดำเนินการแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
โดยเฉพาะการเร่งดำเนินการด้านการปรับปรุงหรือการปฏิรูปโครงสร้างองค์กร ( Organization Reform ) การบรรจุกำลังพลที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ( Specialist
) และการพัฒนากำลังพล ( Human Resource Development ) ให้มีขีดความสามารถในด้านไซเบอร์ เพื่อรองรับการปฏิบัติงานความมั่งคงปลอดภัยด้านไซเบอร์ของชาติ (
National Cyber Security ) และการปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง ( Network
Centric Operations ; NCO ) ของกองทัพบกในอนาคตอันใกล้นี้ ตามที่กองทัพบกได้มีนโยบายประกาศให้ปี
๒๕๕๗ เป็น “ ปีแห่งการเตรียมความพร้อมกองทัพบกสู่อนาคต ” ( The Royal Thai
Army’s Preparation Year Towards the Future ) ซึ่งจะต้องมีการพัฒนาควบคู่กันไปทั้งสองด้าน
เพื่อลดความเสี่ยง และเป็นหลักประกันความสำเร็จทั้งด้านการปฏิบัติการ
และความมั่นคงปลอดภัยจากภัยคุกคามด้านไซเบอร์
-------------------------------------------
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
http://www.thaigov.go.th/th/governmental/item/77821
http://www.mict.go.th/ewt_news.php?nid=5145&filename=index
http://narong251.wordpress.com/assignment-4
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น