วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2561

กำลังพลสำรองไซเบอร์ หนึ่งใน สรรพกำลังด้านไซเบอร์


กำลังพลสำรองไซเบอร์ หนึ่งใน สรรพกำลังด้านไซเบอร์
(  Cyber Reserve : One of the Cyber Mobilization )
โดย พลเอก ฤทธี  อินทราวุธ
ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงกลาโหม/
หัวหน้าคณะทำงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ กิจการอวกาศ  และไซเบอร์
-----------------------------------------
การระดมสรรพกำลัง ( Mobilization ) [1] หมายถึง การกระทำเพื่อเตรียมการทำสงคราม หรือเผชิญภาวะฉุกเฉินอื่นๆ โดยการรวบรวม และจัดระเบียบต่อทรัพยากรของชาติ ซึ่งได้แก่ กำลังคน สิ่งของ การบริการ และ
สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ การระดมสรรพกำลัง แบ่งออกเป็น 2 ทาง คือ การระดมสรรพกำลังทางเศรษฐกิจ ( Economic Mobilization ) และการระดมสรรพกำลังทางทหาร ( Military Mobilization )
การระดมสรรพกำลังทางเศรษฐกิจ ( Economic Mobilization ) หมายถึง การกระทำเพื่อรวบรวม และจัดระเบียบต่อทรัพยากรทางเศรษฐกิจของชาติ ทำให้ทรัพยากรทางเศรษฐกิจอยู่ในลักษณะพร้อมที่จะใช้งานในภาวะฉุกเฉินหรือในเวลาสงคราม
การระดมสรรพกำลังทางทหาร ( Military Mobilization ) หมายถึง กระบวนการที่จะทำให้กำลังทหารทั้งสิ้นหรือส่วนหนึ่งอยู่ในลักษณะที่พร้อมจะเผชิญกับภาวะไม่ปกติของชาติ ทั้งนี้รวมถึงการรวบรวมและจัดระเบียบกำลังพล อันได้แก่ การเรียกทหารกองหนุนเข้ารับราชการ การเรียกเกณฑ์ การจัดระเบียบด้านสิ่งอุปกรณ์และบริการ
ก่อนถึงขั้นการระดมสรรพกำลังอย่างแท้จริงในยามสงคราม หรือในยามเกิดภาวะฉุกเฉินอื่นๆ กระทรวงกลาโหมในฐานะหน่วยงานหลักด้านความมั่นคงทางทหาร ได้มีการเตรียมการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เช่น
การฝึกการระดมสรรพกำลังเพื่อการทหาร , การออก พ.ร.บ. กำลังพลสำรอง พ.ศ. 2558[2] และการเรียกกำลังพลสำรองเข้ามารับการฝึกกำลังพลสำรองเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรบ และเป็นหลักประกันความมั่นคงของประเทศชาติบ้านเมือง ตามพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6  “ แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบ ให้พร้อมสรรพ ” และในปีนี้ กระทรวงกลาโหม ได้จัดให้มี การแสดงศักยภาพของกำลังสำรอง ทั้ง 3 เหล่าทัพ[3]  ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2561 ที่ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (ศรีสมาน) โดยมี พลเอก เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม มาเป็นประธานในพิธีฯ
มีรองปลัดกระทรวงกลาโหม, รองปลัดกระทรวงมหาดไทย, ผู้แทนกองบัญชาการกองทัพไทยและเหล่าทัพ, หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม, ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน และหัวหน้าคณะทำงานฯ ที่เกี่ยวข้องชมการแสดงศักยภาพของกำลังพลสำรองของกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ในการพัฒนาขีดความสามารถของกำลังพลสำรองให้สามารถปฏิบัติภารกิจร่วมกับกำลังประจำการได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นการประชาสัมพันธ์ให้สาธารณะได้รับทราบถึงบทบาท และความสำคัญของกำลังพลสำรองที่มีผลต่อความมั่นคงของประเทศ
นอกจากนี้ กรมการสรรพกำลังกลาโหมได้จัดให้มีการฝึกปัญหาที่บังคับการ ( Post Command Exercise ; CPX ) ในการฝึกการระดมสรรพกำลังเพื่อการทหาร ประจำปี 2561 ระหว่างวันที่ 22 - 24 พฤษภาคม 2561
ณ กรมการสรรพกำลังกลาโหม สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (ศรีสมาน) โดยจัดให้มีการฝึกสถานการณ์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมทั้งภัยคุกคามด้านไซเบอร์ ตลอดจนการเตรียมฐานข้อมูลสรรพกำลังด้านต่างๆ ทั้งด้านสถานที่ สิ่งอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ ยานพาหนะ และด้านกำลังคน  เช่น กำลังพลสำรอง ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและพัฒนาเสริมสร้าง กำลังพลสำรองไซเบอร์ตามนโยบายของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม[4]   
“ กำลังพลสำรองไซเบอร์ ” ถือเป็นหนึ่งในการระดมสรรพกำลัง ด้านกำลังคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ที่มีความสำคัญในยุคเทคโนโลยีปัจจุบัน นอกเหนือจากการระดมสิ่งของและทรัพยกรด้านอื่นๆ  เพราะในอดีตยุคสงครามเย็น “ กำลังพลสำรอง ” ถือเป็น “ กำลังกองหนุน ” ที่มีความสำคัญต่อกองทัพ เพราะจะเป็นกำลังรบที่จะมาทดแทนกำลังทหารที่เกิดการสูญเสียในยามสงคราม แต่ในยุคเทคโนโลยีปัจจุบัน “ กำลังพลสำรองไซเบอร์ ” ถือเป็น “ อำนาจกำลังรบ ” ที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติ[5] เพราะกองทัพสามารถนำกำลังพลสำรองไซเบอร์ ซึ่งหมายถึง กำลังพลสำรองที่มีคุณวุฒิ มีความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ด้านไซเบอร์ มาใช้งานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ตั้งแต่ยามปกติ   ซึ่งถือเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยคุกคามด้านไซเบอร์ และการพัฒนาเสริมสร้างบุคลากรด้านไซเบอร์ของประเทศที่มีความสำคัญในยุคเทคโนโลยีปัจจุบันอีกทางหนึ่ง
กระทรวงกลาโหม ได้มีแนวความคิดในการนำขีดความสามารถทางไซเบอร์พลเรือนมาใช้งานในกองทัพ โดยกำหนดไว้ใน ยุทธศาสตร์ไซเบอร์เพื่อการป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหม[6] ตั้งแต่ปี 2558 และในการประชุมสภากลาโหม[7] ได้มีการพิจารณาหารือในการนำ ผู้เชี่ยวชาญไซเบอร์พลเรือนและกำลังพลสำรอง มาเสริม
สร้างขีดความสามารถด้านไซเบอร์ให้กับกองทัพ เพื่อสอดรับนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลในการตั้งเป้าสร้างนักรบไซเบอร์ จำนวน 1,000 คน เพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยไซเบอร์ ในปี 2561[8]   และล่าสุดจากการประชุมคณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ครั้งที่ 1/2561 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบกับแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ทั้ง 6 กลุ่ม โดยกระทรวงกลาโหมรับผิดชอบกลุ่มงานที่ 1 กลุ่มความมั่นคงฯ และรัฐบาลได้ตั้งงบประมาณด้านการพัฒนาบุคลากรด้านไซเบอร์ จำนวน 350 ล้านบาท[9]
แนวความคิดและนโยบายดังกล่าว มีการตีความว่าเป็นการสร้าง นักรบไซเบอร์ จึงใคร่ขออธิบายว่า " นักรบไซเบอร์ " หรือ " Cyber warrior " เป็นเรื่องของการปฏิบัติการทางทหารโดยตรง ต่อเป้าหมายทางทหารหรือเป้าหมายที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ในกรณีที่เกิดสถานการณ์ภาวะ " สงครามไซเบอร์ " หรือ " Cyber warfare " เท่านั้น
กรณีในสภาวะปกติ เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานไซเบอร์ของทหาร จะเป็นเพียง " เจ้าหน้าที่ หรือ ผู้เชื่ยวชาญด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ " ( Cyber security officer / Cyber security specialist ) ไม่ใช่ " นักรบไซเบอร์ " หรือ " Cyber warrior " ตามที่เป็นกระแส ซึ่งอาจจะมาจากข้าราชการประจำ หรือพนักงานราชการที่มีความรู้ด้านนี้ ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอต่อภารกิจ ก็สามารถเปิดรับสมัครบรรจุบุคคลพลเรือนเข้ามารับราชการทหาร หรือ ข้าราชการพลเรือนกลาโหม (ไม่มียศ) หรือ พนักงานราชการที่มีศักยภาพสูง (อัตราเงินเดือนสูง) ตามนโยบายของรัฐบาล โดยระเบียบกฎเกณฑ์การรับสมัครก็เป็นไปตามระเบียบข้าราชการทหาร หรือ ระเบียบข้าราชการพลเรือน
สำหรับ " กำลังพลสำรองไซเบอร์ " เป็นการคัดเลือกจาก " กำลังพลสำรอง " ตาม พ.ร.บ. กำลังพลสำรอง พ.ศ.2558 ที่มีคุณวุฒิ หรือ มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ เพื่อนำมาบรรจุ " ทำหน้าที่ทหารเป็นการชั่วคราว " ตามระเบียบข้าราชการทหาร พ.ศ. 2521 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อบรรจุในหน่วยงานไซเบอร์ของทหาร โดยกระทรวงกลาโหมสามารถแต่งตั้ง " ว่ามี่ยศ " ให้ได้ตามคุณวุฒิและอัตราที่บรรจุ และจะพ้นสภาพการเป็นกำลังพลสำรอง
ดังนั้น การนำ " กำลังพลสำรอง " ซึ่งมีจำนวนยอดรวมทั่วประเทศประมาณ 10 - 12 ล้านคน มาคัดเลือกเป็น " กำลังพลสำรองไซเบอร์ " เพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นกำลังพลสำรองที่มีคุณวุฒิ หรือ มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ มาทำการฝึกอบรมและพัฒนาขีดความสามารถและศักยภาพด้านไซเบอร์ แทนที่จะนำมาฝึกด้านการทหารสำหรับนำมาบรรจุทดแทน หรือเสริมกำลัง หรือใช้เป็นกองหนุนในเหล่ากำลังรบ เหล่าการช่วยรบ หรือเหล่าสนับสนุนการรบ รวมถึงการแต่งตั้งว่าที่ยศให้เหมาะสมกับคุณวุฒิ จึงนับว่ามีความเหมาะสมกับฐานะ คุณวุฒิ ความรู้ความสามารถ และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ด้านการใช้ทรัพยากรมนุษย์อย่างคุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นการตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาบุคลากรด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศอีกทางหนึ่ง
 -------------------------------------------
อ้างอิง :

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น