วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2561

กระทรวงกลาโหม กับ การพัฒนากิจการอวกาศ


กระทรวงกลาโหม กับ การพัฒนากิจการอวกาศ
(  Ministry of Defence and Space affairs Development )
โดย พลเอก ฤทธี  อินทราวุธ
ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงกลาโหม/
หัวหน้าคณะทำงานเทคโนโลยีสารสนเทศ กิจการอวกาศ  และไซเบอร์
-----------------------------------------
การพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทย ประกอบด้วย การพิจารณาและการปรับปรุงแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทย การจัดทำโปรแกรมอวกาศแห่งชาติ ตลอดจนพิจารณาการดำเนินโครงการดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา โดยมอบหมายให้กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลัก ในการพัฒนากิจการอวกาศเพื่อความมั่นคง ตามแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทย โดยกำหนดเป้าหมายให้ใช้อวกาศเป็นพื้นที่ปฏิบัติการด้านความมั่นคง เพื่อพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของชาติ บูรณาการและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศเพื่อความมั่นคงและสามารถพัฒนาสู่การพึ่งพาตนเอง ตลอดจนพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีอวกาศเพื่อความมั่นคงอย่างพอเพียง[1]
เทคโนโลยีกิจการด้านอวกาศเพื่อความมั่นคง กระทรวงกลาโหมได้มีแนวความคิดในการพัฒนาด้านกิจการอวกาศมาอย่างต่อเนื่องจากอดีตจนถึงปัจจุบัน  เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการตอบสนองต่อการ
เปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคง เช่น การสังเกตการณ์ห้วงอวกาศ การตรวจการณ์ทางอวกาศ การสื่อสารและโทรคมนาคม เป็นต้น ซึ่งสามารถสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคงของเหล่าทัพ ทั้งการปฏิบัติการภายในประเทศ และการปฏิบัติการร่วม/ผสมกับต่างประเทศ อย่างสมบูรณ์และไร้ขีดจำกัด โดยกระทรวงกลาโหม ได้เคยมีหน่วย ศูนย์พัฒนากิจการอวกาศกลาโหม ( ศพอ.กห.) ตั้งแต่ 1 เมษายน 2539 และต่อมาได้มีการปรับปรุงโครงสร้างหน่วยและเปลี่ยนชื่อนามหน่วยเป็น กรมเทคโนโลยีสารสนเทศและอวกาศกลาโหม ( ทสอ.กห.) [2] เมื่อ 1 ตุลาคม 2547 เพื่อรองรับเทคโนโลยีสารสนเทศที่กำลังมีความสำคัญมากในขณะนั้น โดยยังคงมี กองกิจการอวกาศ ดูแลรับผิดชอบงานด้านกิจการอวกาศ ของกระทรวงกลาโหม
การประชุมสภากลาโหม เมื่อ 30 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมาโดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานฯ มีการนำเสนอแนวความคิดด้านกิจการอวกาศของกระทรวงกลาโหมในที่ประชุม เพื่อนำไปสู่การเตรียมการจัดทำร่างยุทธศาสตร์กิจการอวกาศเพื่อการป้องกันประเทศ กระทรวงกลาโหม พ.ศ.2561-2570 โดยมีเป้าหมายให้กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลักในการใช้เทคโนโลยีอวกาศด้านความมั่นคงของประเทศ และมีการกำหนดวิสัยทัศน์โดย กระทรวงกลาโหมเป็นองค์กรหลักด้านกิจการอวกาศ ที่มีศักยภาพในการเตรียมกำลัง ผนึกกำลัง และพัฒนาด้านกิจการอวกาศ เพื่อการป้องกันประเทศ[3] โดยกำหนดพันธกิจ ด้านการพัฒนา เสริมสร้าง และบูรณาการขีดความสามารถด้านกิจการอวกาศ เพื่อการป้องกันประเทศ ตามยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศ กระทรวงกลาโหม ( พ.ศ.2560 -2579 ) ด้วยการเตรียมกำลัง , การผนึกกำลัง และการพัฒนา และมีประเด็นยุทธศาสตร์ย่อย ประกอบด้วย
1. การสร้างความพร้อมด้านกิจการอวกาศของหน่วยงานภายในกระทรวงกลาโหม ให้สามารถนำเทคโนโลยีอวกาศไปใช้ในการปฏิบัติภารกิจทางด้านความมั่นคงเพี่อการป้องกันประเทศ การพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของชาติ รวมทั้งเพื่อการพัฒนาประเทศ และการช่วยเหลือประชาชน ทั้งในภาวะปกติและไม่ปกติ 
2. การสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ในการแบ่งปัน แลกเปลี่ยน และบูรณาการทรัพยากรที่มี เพื่อให้กระทรวงกลาโหมมีศักยภาพด้านกิจการอวกาศเพื่อการป้องกันประเทศ เมื่อได้รับมอบหมายจากรัฐบาลและเมื่อถึงเงื่อนไขที่กำหนด เสริมสร้างความร่วมมือระดับนานาชาติ และรักษาสมดุลของความสัมพันธ์ได้อย่างบังเกิดผลเป็นรูปธรรม 
3. การสร้างนวัตกรรม องค์ความรู้ใหม่ๆ ด้านกิจการอวกาศ การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบต่างๆ ให้ทันต่อภัยคุกคามในรูปแบบต่างๆ เทคโนโลยีสมัยใหม่ และสถานการณ์ความมั่นคงของโลก มีการศึกษา วิจัย และพัฒนานวัตกรรมอวกาศในการก้าวไปสู่กิจการอวกาศเพื่อการป้องกันประเทศ 
กระทรวงกลาโหมได้มีการดำเนินการด้านกิจการอวกาศมาตามลำดับ โดยเข้าร่วมเป็นหนึ่งใน คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารกิจการอวกาศ พ.ศ.2552[4]
และประสานความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ( องค์การมหาชน )  หรือ GISTDA ในการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของโครงการดาวเทียมถ่ายภาพ ธีออส 2 ( THEOS-2 ) [5] วงเงิน 7,800 ล้านบาท ที่จะส่งขึ้นไปทดแทนดาวเทียมธีออส หรือ ดาวเทียมไทยโชติ ที่ใช้งานมาแล้วกว่า 10 ปี จำเป็นต้องมีดาวเทียมดวงใหม่ขึ้นไปทดแทนเพื่อรักษาสิทธิวงโคจรให้มีความต่อเนื่อง โดยคุณลักษณะเฉพาะหลักๆ ก็ยังเป็นดาวเทียมถ่ายภาพเช่นเดิม แต่สามารถนำเอามาเสริมหรือประยุกต์ใช้งานด้านความมั่นคงเพื่อการป้องประเทศ เช่น เฝ้าตรวจพื้นที่ชายแดน และน่านน้ำทะเลไทยได้ตามความต้องการของกองทัพ เพราะสามารถบังคับควบคุมวิถีวงโคจร และการบังคับมุมกล้องถ่ายภาพจาก
สถานีควบคุมดาวเทียมภาคพื้นดิน ที่ อุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ ( Space Krenovation Park  ) [6] อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ทั้งนี้ในส่วนของกระทรวงกลาโหมจะมีเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งเข้าร่วมการปฏิบัติงาน ณ สถานีควบคุมดาวเทียมภาคพื้นดินดังกล่าว
นอกจากเหนือจากความร่วมมือตามโครงการดาวเทียม THEOS-2 แล้ว กระทรวงกลาโหมกำลังเดินหน้าประสานความร่วมมือกับ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ( องค์การมหาชน )  หรือ
GISTDA เพื่อนำไปสู่การลงนาม บันทึกข้อตกลง ( Memorandum of Agreement หรือ MOA ) จากการหารือได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นในการเข้าร่วมโครงการพัฒนาบุคลากร และโครงการพัฒนาดาวเทียมสำรวจทรัพยากรโลก หรือดาวเทียมถ่ายภาพขนาดเล็ก ( Micro Satellites ) วงโคจรต่ำ ( Low Earth Orbit : LEO ) น้ำหนักประมาณ 50 - 100 กิโลกรัม ใช้ระยะเวลาในการพัฒนาดาวเทียม 2 – 3 ปี โดยคนไทยพัฒนาเองทั้งหมด และจะใช้พื้นที่ อุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ ( Space Krenovation Park ) อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เป็นสถานที่ในการพัฒนาดาวเทียมดังกล่าว เพื่อพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพและขีดความสามารถของคนไทยด้านการพัฒนาดาวเทียมให้สามารถพึ่งพาตนเองได้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
ส่วนที่มีกระแสข่าววิพากษ์วิจารณ์ว่า กระทรวงกลาโหมจะใช้ดาวเทียม THEOS-2 มาเป็นดาวเทียมเพื่อความมั่นคง ในการสอดแนม ดักฟัง หรือนำขีปนาวุธ นั้น เป็นเรื่องจินตนาการที่เกินความเป็นจริงสำหรับประเทศไทย ทั้งด้านกฎหมาย และการละเมิดสิทธิมนุษยชน ถึงแม้ว่าชั้นบรรยากาศระดับความสูงตั้แต่ 100 กิโลเมตรขึ้นไปทางสากลจะถือว่าเป็นพื้นที่ห้วงอวกาศเสรีที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ  แต่ดาวเทียมใช่ว่าใครจะนำไปใช้ทำอะไรได้ตามอำเภอใจ ยกเว้นประเทศมหาอำนาจเท่านั้น ดาวเทียมทุกดวงที่จะขึ้นไปสู่ห้วงอวกาศส่วนใหญ่ จะต้องจ้างบริษัทต่างประเทศในการนำส่งทางจรวดซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทธุรกิจเอกชน หรืออาจจะถูกควบคุมตรวจสอบโดยหน่วยงานความมั่นคง ดาวเทียมทุกดวงจะต้องผ่านการตรวจคุณลักษณะเฉพาะของชิ้นส่วนวัสดุอุปกรณ์ทุกชิ้น มีมาตรฐานสากลรับรองจากองค์การอวกาศ รวมถึงวัตถุประสงค์ในการใช้งาน ถ้าชี้แจงไม่ชัดเจนไม่ผ่าน , ตกคุณลักษณะเฉพาะ หรือตกมาตรฐานรับรองจากองค์การด้านอวกาศ เช่น องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ องค์การนาซ่า ( NASA ) รวมทั้งถ้ามีส่วนใดส่วนหนึ่งใช้ในกิจการทางทหารติดขึ้นมา จะไม่สามารถนำส่งขึ้นอวกาศได้ เป็นกฎระเบียบของบริษัทเอกชนผู้ให้บริการส่งจรวต เช่นเดียวกับการส่งพัสดุภัณฑ์ทางไปรษณีย์ หรือพัสดุภัณฑ์ทางอากาศ ( Air cargo ) 
ประเด็นการวิพากษ์วิจารณ์ว่า กระทรวงกลาโหมจะนำดาวทียม THEIA มาทดแทนดาวเทียม THAICOM-4 ซึ่งจะหมดอายุการใช้งานในปี 2564 ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะดาวทียมถ่ายภาพหรือดาวเทียมสำรวจทรัพยากรโลก ( Earth Observation Satellites )  กับ ดาวเทียมสื่อสาร ( Communications Satellites ) วิถีโคจรคนละแบบกัน โดยดาวเทียมสื่อสารเป็นดาวเทียมแบบค้างฟ้าที่โคจรไปพร้อมกับการหมุนของโลก เพื่อให้ตำแหน่งของดาวเทียมคงที่เหนือพื้นที่ให้การบริการสื่อสารโทรคมนาคม ส่วนดาวเทียมถ่ายภาพ จะโคจรรอบโลกผ่านตำแหน่งเดิมวันละ 1 ครั้งหรือมากกว่า ผ่านมาทีถึงจะถ่ายภาพได้ที หากจะใช้ดาวเทียม THEIA มาแทน THEOS-2 ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะโครงการดาวเทียม THEOS-2 เปิดประกาศ TOR ประกวดราคาเสร็จแล้ว และรอลงนามในสัญญาฯ กับ AIRBUS GROUP กลางเดือน มิถุนายน 2561 เพื่อให้สามารถใช้งานทดแทนดาวเทียม THEOS หรือ ไทยโชติ ซึ่งใช้งานมากว่า 10 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2551 ได้ทันตามกำหนดเวลา เพราะการส่งดาวเทียมจะต้องใช้เวลาการพัฒนาดาวเทียมรวมถึงการเตรียมการจองคิวปล่อยดาวเทียม ประมาณ 3 – 5 ปี และโครงการดาวเทียม THEIA ของบริษัทเอกชน เป็นเพียงดาวทียมถ่ายภาพหรือดาวเทียมสำรวจทรัพยากรโลก ที่สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ( สทป.) กำลังศึกษาความเหมาะสมร่วมกับหน่วยราชการอื่นๆ เพื่อนำมาใช้งานด้านการค้นหาแหล่งน้ำใต้ดิน บนดิน แหล่งพลังงานจากธรรมชาติเพื่อใช้ในการลงทุน งานด้านการขนส่ง งานด้านการประมงผิดกฎหมายหรือไอยูยู[7] จึงมีความเป็นไปได้ยากที่จะพัฒนาเป็น ดาวเทียมจารกรรม[8] ( Reconnaissance Satellites ) ซึ่งเป็น ดาวเทียมสำรวจความละเอียดสูง หรือดาวเทียมสื่อสารที่ใช้เพื่อกิจการทางทหาร หรือการจารกรรม
ส่วนใครคิดจะมีดาวเทียมเพื่อความมั่นคงทางการทหาร เพื่อใช้สอดแนม , เฝ้าฟัง , ดักฟัง , นำวิถีขีปนาวุธ หรือติดขีปนาวุธเพื่อการทำลายล้าง จะต้องมีศักยภาพด้านการพัฒนาด้านเทคโนโลยีอวกาศอย่างสูง ทั้งอุปกรณ์ดาวเทียม อุปกรณ์ทางทหารที่ใช้งานภายใต้สภาพไร้น้ำหนักหรือสูญญากาศ อุปกรณ์ควบคุมจากสถานีดาวเทียมภาคพื้นดิน รวมถึงจรวดนำส่งดาวเทียมขึ้นสู่ชั้นอวกาศเอง เอาแค่พัฒนาขีดความสามารถในการบังคับควบคุมดาวเทียมให้อยู่ในวิถีวงโคจร และการบังคับมุมกล้องถ่ายภาพจากสถานีภาคพื้น แค่นี้ก็เก่งแล้ว ยิ่งการพัฒนาขีดความสามารถบุคลากรในการสร้างดาวเทียมของตนเองให้ใช้งานได้ยิ่งเก่งกว่า เพราะการถ่ายทอดเทคโนโลยี ( Technology Transfer ) ที่ได้มาจากโครงการดวงเทียมต่างๆ ของประเทศไทยที่ผ่านมา เป็นเพียงเปลือกนอก ไม่ใช่แก่นของความลับทางธุรกิจด้านเทคโนโลยีอวกาศหรือเทคโนโลยีดาวเทียมที่จะได้มาง่ายๆ ดังนั้นเราจึงควรมีนโยบายและกลไกขับเคลื่อนผลักดัน ตลอดจนการให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีอวกาศอย่างแท้จริงให้เป็นรูปธรรม จนสามารถพัฒนาดาวเทียมด้วยตนเองได้เช่นเดียวกับการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศต่างๆ เพราะการพัฒนาดาวเทียม แม้จะเป็นดาวเทียมขนาดเล็ก ( Micro Satellites ) หรือดาวเทียมขนาดจิ๋ว ( Cube SAT) จะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีอวกาศและกิจการอวกาศขั้นพื้นฐานที่ดีที่สุด ซึ่งจะต้องรียนรู้ด้วยการปฏิบัติจริง เรียนรู้จากประสบการณ์จริง เรียนรู้จากความล้มเหลว เพื่อพัฒนาไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน และถ้าเราสามารถพัฒนาขีดความสามารถในการสร้างจรวดนำส่งอวกาศควบคู่กันไปจนประสบความสำเร็จ ถือเป็น สุดยอดของการพัฒนาเทคโนโลยีด้านกิจการอวกาศ
-------------------------------------------
อ้างอิง :

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น